Showing posts with label organic farm. Show all posts
Showing posts with label organic farm. Show all posts

28 October 2009

ปลูกผักปลอดสารพิษในกระสอบเก่า

2 comments

คุณโสทร รอดคงที่ บัณฑิตหนุ่มจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี หันหลังจากงานประจำมาเริ่มต้นทำงานเกษตรแบบพอเพียง โดยการปลูกผักแบบปลอดสารพิษในกระสอบเก่า โดยแนะนำว่าสามารถใช้ได้ทั้งกระสอบปุ๋ย, กระสอบอาหารสัตว์, กระสอบแป้งสาลี หรือกระสอบต่าง ๆ ขนาดใดก็    ได้ ยกเว้นกระสอบป่าน สำหรับกระสอบปุ๋ยบางชนิดที่น้ำซึมผ่านยากนั้นควรนำมาเจาะรูให้สามารถระบายน้ำได้ก่อน แต่ถ้าเป็นกระสอบที่น้ำซึมผ่านได้ดี ก็นำมาใช้ได้เลย

 
ดินที่จะนำมาใส่กระสอบนั้น ก็จะต้องผสมให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ โดยเน้นวัสดุปลูกที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น ปุ๋ยคอกเก่า, ปุ๋ยหมัก, แกลบ, แกลบเผา, เศษใบไม้ ฯลฯ คลุกเคล้า  ให้เข้ากัน คุณโสทรแนะว่า ถ้าผสมปุ๋ยหมักจุลินทรีย์โบกาฉิ ได้ด้วยก็จะยิ่งดี   วิธีการทำปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ คือ นำปุ๋ยคอกเก่า 1 ส่วน ผสมกับรำละเอียด 1 ส่วน ผสมกับแกลบหรือหญ้าแห้ง ฟางแห้ง ทะลายปาล์ม หรืออื่น ๆ 1 ส่วน คลุกเคล้ากันให้ทั่ว จากนั้น นำกากน้ำตาล 40 ซีซี ละลายน้ำ 10 ลิตร ใส่จุลินทรีย์ 40 ซีซี คนให้เข้ากัน

 
หลังจากนั้นนำน้ำที่ได้ไปราดคลุกเคล้ากับวัสดุที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้วทดสอบว่า วัสดุปลูกใช้ได้หรือยัง ทดสอบโดยใช้มือขยำวัสดุปลูกดู หากยังมีน้ำไหลออกระหว่างนิ้ว แสดงว่าวัสดุปลูกแฉะเกินไป ให้เพิ่มวัสดุเข้าไปอีก ถ้าขยำเป็นก้อน แล้วปล่อยมือ ถ้าก้อนไม่แตกออกมาแสดงว่าพอดี ถ้าปล่อยมือแล้วก้อนวัสดุแตกทันที แสดงว่าวัสดุยังแห้งเกินไป ให้ราดน้ำจุลินทรีย์เพิ่มลงไป หมักวัสดุดังกล่าวโดยการกองไว้ในที่ร่ม    ใช้กระสอบป่านคลุม ควรกลับกองวันละ 1 ครั้ง กลับกองปุ๋ยเรื่อยไปจนกว่าจะเย็น ซึ่ง   ปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ จะ  นำมาใช้ได้ก็ราว 7-  10 วัน

  ก่อนที่จะใส่วัสดุปลูกลงในกระสอบนั้น ผู้ปลูกจะต้องรู้ก่อนว่าจะปลูกผักชนิดใด เพื่อใส่ดินให้เหมาะกับชนิดผักนั้น ๆ เช่น ถ้าปลูกผักที่มีรากยาว อย่างพริก, มะเขือเทศ, มะเขือเปราะ, มะเขือยาว ฯลฯ เราก็ต้องพับหรือม้วนปากกระสอบลงมาแล้วใส่ดินปลูกให้สูง 20-25 ซม. ถ้าปลูกผักที่มีรากสั้น อย่างผักกินใบ พวกคะน้า, กวางตุ้ง, ฮ่องเต้ ฯลฯ ก็ใส่ดินน้อยลงมา ให้สูงสัก 10-15 เซนติเมตร แต่การวางกระสอบในแนวตั้งจะทำให้ได้พื้นที่ในการปลูกน้อยแนะนำให้ใช้วิธีการใส่ดินในกระสอบประมาณครึ่งกระสอบแล้วมัดปากกระสอบด้วยเชือก วางกระสอบให้นอนลง จากนั้นก็ทำการเจาะรูที่กระสอบ อุปกรณ์ในการเจาะ หากระป๋องปลากระป๋องมาทาบแล้วใช้มีดคัตเตอร์ตัดเป็นวงกลม เพื่อให้ หยอดเมล็ดผักได้ โดยจำนวนรูที่เจาะก็ตามความเหมาะสมประมาณ 9-12 รู แล้วแต่ขนาดของกระสอบ จากนั้นนำเมล็ดผักมาหยอดปลูกได้ทันที รดน้ำเช้า-เย็น เมื่อต้นผักงอก มีใบจริง 2-3 ใบ ก็ให้รดน้ำหมักชีวภาพ.

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ http://www.dailynews.co.th

Read full story

28 September 2009

โอกาสของสินค้าเกษตรไทยในไต้หวัน

0 comments

eatseasonably.co.uk โดยปกติแล้วไต้หวันไม่ใช่ตลาดส่งออกหลักของสินค้าเกษตรไทย เนื่องจากไต้หวันเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านการเกษตรเป็นอย่างมาก สามารถผลิตผักและผลไม้ได้เป็นจำนวนมาก และหลายชนิดวางขายในราคาที่ถูกกว่าประเทศไทย แต่หลังจากที่ไต้หวันหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคมากขึ้น การผลิตสินค้าเกษตรจึงลดความสำคัญลง โดยส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศเท่านั้น และจะนำเข้าเฉพาะในช่วงนอกฤดูการผลิต (กรกฎาคม-กันยายนของทุกปี) ซึ่งเป็นช่วงที่พายุไต้ฝุ่นพัดผ่านเกาะไต้หวัน และมักสร้างความเสียหายให้แก่พื้นที่เกษตรของไต้หวันเป็นบริเวณกว้าง

 

Trade Update ฉบับนี้ จึงขอแนะนำข้อมูลที่น่าสนใจและกฎระเบียบที่ผู้ส่งออกควรทราบในการส่งออก สินค้าเกษตรไปยังไต้หวัน ดังนี้


ตลาดค้าส่งสินค้าพืชผักที่สำคัญในไต้หวันมีอยู่ 6 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ ประกอบด้วย ตลาดไทเป 1 และ 2 (ภาคเหนือ) ตลาดซีหลัว เมืองยวินหลิน และตลาดซีหู เมืองจางฮว่า (ภาคกลาง) ตลาดเมืองเกาสงและตลาดเมืองผิงตง (ภาคใต้) ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ ทั้งที่ผลิตจากในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ จะถูกนำมาประมูลในตลาดค้าส่งก่อนจะเปลี่ยนมาสู่ผู้ค้าปลีกต่อไป

สินค้าผักสดสำคัญที่ไต้หวันนำเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่ กะหล่ำดอก บร็อกโคลิ หน่อไม้ฝรั่ง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ถั่วลันเตา เห็ดหูหนู ผักกาดแก้ว และกะหล่ำพันธุ์ต่าง ๆ โดยนำเข้าหน่อไม้ฝรั่งจากไทยมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 57.92 ของการนำเข้าทั้งหมด ส่วนสินค้าเกษตรที่ไต้หวันต้องการนำเข้าเพิ่มเติม ได้แก่ กะหล่ำปลี ผักกาดขาวปลี ผักกาดหวานหรือสลัดคอส (Romaine Lettuce/ Cos Lettuce) ผักกาดหอมห่อ หัวไชเท้า พริก ผักชี ขึ้นฉ่าย ผักกวางตุ้ง ผักกาดแก้ว เป็นต้น

learners.in.th อย่างไรก็ดี ไต้หวันมีหน่วยงานที่ดำเนินการตรวจกักกันโรคพืชและสารตกค้างอย่างเข้มงวด ทำให้ขณะนี้ไทยยังไม่สามารถส่งออกผักหลายชนิดไปไต้หวันได้ อาทิ มะเขือ พริก ถั่วฝักยาว และผักชี ดังนั้นผู้ส่งออกไทยจึงควรใช้ความระมัดระวังในกระบวนการบรรจุผลิตภัณฑ์และการใช้ยา ฆ่าแมลงเพื่อให้สามารถผ่านมาตรฐานของฝ่ายไต้หวัน นอกจากนี้ สินค้าเกษตรที่ส่งออกไปยังไต้หวันต้องมีหนังสือรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) และหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ซึ่งผู้ส่งออกอาจต้องใช้หลักฐานประกอบเพิ่มเติม อาทิ ภาพถ่ายของแหล่งผลิต วิธีการบรรจุผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ศุลกากรไต้หวันมั่นใจว่าสินค้านั้น ๆ มีแหล่งกำเนิดในประเทศไทยจริง ทั้งนี้ อัตราภาษีนำเข้าของไต้หวันอยู่ที่ร้อยละ 0 - 30 (สินค้ากระเทียมสด เรียกเก็บในอัตรา 27 ดอลลาร์ไต้หวันต่อกิโลกรัม)

สำหรับการนำ เข้าสินค้าเกษตรอินทรีย์นั้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นมา สินค้าที่ระบุว่าเป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์ จะต้องผ่านการรับรองตราสินค้าอินทรีย์ของประเทศต้นทางโดยสภาเกษตรไต้หวัน ก่อนจึงจะสามารถใช้ตราสินค้าอินทรีย์ได้ ซึ่งขณะนี้สภาเกษตรยังอยู่ระหว่างการตรวจรับรองตราสินค้าอินทรีย์ของประเทศ ต่าง ๆ

ปัจจุบัน ไต้หวันยังคงห้ามการนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากจีน ทำให้ผู้ส่งออกไทยสามารถทำตลาดไต้หวันได้ง่ายกว่าประเทศอื่น แต่ผู้ส่งออกไทยก็ควรมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนโดยให้ความสำคัญกับการผลิต สินค้าเกรดดีมีคุณภาพสูงมากกว่าการผลิตสินค้าคุณภาพต่ำราคาถูกในปริมาณมาก เพราะสามารถขายได้ราคาดีกว่า นอกจากนี้ แนวคิดเกี่ยวกับการรับประทานเพื่อสุขภาพและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังได้ รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Friendly) หรือการทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น เพราะสามารถใช้เป็นจุดขายได้ดี

ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการส่ง ออกผักสดไปยังไต้หวัน สามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย โทรศัพท์ (88-62) 2581-1979 อี-เมล์ tteo@ms22.hinet.net หรือเว็บไซต์ www.tteo.org.tw/th/index.asp

 

ข้อมูลจาก Happytreebiz

Read full story

18 September 2009

ปุ๋ยพืชสด

0 comments

 

ปุ๋ยพืชสด เป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่ได้จากต้นพืชและใบสดที่ปลูกเอาไว้ หรือขึ้นเองตามธรรมชาติ เมื่อไถกลบหรือทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพังหมดแล้วจะให้ธาตุอาหารพืช และเพิ่มปริมาณอินทรีย์วัตถุในดิน ซึ่งจำเป็นต่อพืชหลักที่ปลูก ช่วยป้องกันไม่ให้ดินเกิดการเสื่อมโทรมเร็วเกินไป และยังช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำได้ด้วย

 

การปลูกพืชเพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชสดนั้น หลังการไถกลบต้นพืชแล้ว ส่วนหนึ่งของเศษพืชที่ตกค้างอยู่จะทำหน้าที่คลุมดิน ป้องกันการระเหยของน้ำจากผิวดิน ขณะเดียวกันเศษพืชที่อยู่ในดิน เมื่อสลายตัวจะกลายเป็นอินทรียวัตถุ ที่ช่วยให้สภาพทางกายภาพของดินดีขึ้น

 

คุณสมบัติของพืชที่เหมาะสมสำหรับใช้เป็นปุ๋ยพืชสด
ต้องเป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้เร็วในดินทั่ว ๆ ไป เมล็ดงอกงามดี ออกดอกในเวลาสั้น ประมาณ 30-60 วัน และให้น้ำหนักสดสูง ต้านทางโรคและแมลงได้ดี ขยายพันธุ์ได้ง่ายและเร็วสามารถไถกลบได้ง่าย ลำต้นเปราะและเน่าเปื่อย สลายตัวได้รวดเร็วและที่สำคัญคือ ต้องมีธาตุอาหารสูง

ประโยชน์ของพืชสด
1. ลดอัตราการชะล้างพังทลายของดิน
2. ช่วยทำให้ดินโปร่ง ร่วนซุย สะดวกในการไถพรวนและเตรียมดิน
3. เพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำรักษาความชื้นให้แก่ดิน
4. เพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดิน
5. ช่วยบำรุงรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน
6. เพิ่มความสามารถในการดูดซึมธาตุอาหารของดินให้สูงขึ้น
7. ลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมี และเพิ่มผลผลิตของพืชให้สูงขึ้น

 

www.ldd.go.th

ปมรากของพืชตระกูลถั่ว ที่สามารถช่วยตรึงไนโตรเจนในอากาศได้ดี

ประเภทของปุ๋ยพืชสด
ปุ๋ยพืชสดนั้นมีอยู่ด้วยกันมากมายหลายชนิด ทั้งที่เป็นพืชตระกูลถั่ว และที่ไม่ใช่พืชตระกูลถั่วที่มีใช้กันอยู่อย่างแพร่หลาย ดังนี้
1. พืชตระกูลถั่ว เป็นพืชที่นิยมใช้กันมากสำหรับเป็นปุ๋ยพืชสด เนื่องจากว่าพืชตระกูลถั่วนอกจากจะขึ้นได้ง่าย และเจริญเติบโตได้ดีแล้ว ที่รากพืชตระกูลถั่วจะมีปมรากมากมาย อันเป็นที่อาศัยของบักเตรีชนิดหนึ่ง คือ ไรโซเบียม ซึ่งสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้
2. พืชตระกูลหญ้า ส่วนมากเป็นหญ้าซึ่งปลูกเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์ หญ้าเหล่านี้เมื่อปลูกแล้วไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดได้เช่นกัน แต่จะให้เพียงอินทรียวัตถุ    ส่วนแร่ธาตุอาหารพืชอย่างอื่นนั้นมีปริมาณน้อยกว่าพืชตระกูลถั่ว
3. พืชน้ำ มีอยู่ด้วยกันหลายชนิดที่สามารถนำมาใส่ในไร่นาแล้วไถกลบให้เป็นปุ๋ยพืชสดได้ เช่น ผักตบชวา, จอก และแหนแดง

การใช้ประโยชน์
วิธีการใช้ปุ๋ยพืชสดอาจแยกออกได้ตามลักษณะของระบบปลูกพืช ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ดังนี้
1. การปลูกพืชหมุนเวียน
2. การปลูกพืชแซม
3. การปลูกพืชแถบ
4. การปลูกพืชคลุมดิน

 

http://www.kasetporpeang.com

Read full story

10 September 2009

เกษตรอินทรีย์ไทย คิดให้ไกลกว่า "ปลูกข้าว"

0 comments

มูลค่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ในตลาดโลก แต่ละปีมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย ปีละ 20 เปอร์เซ็นต์ และหากเข้าไปดูในห้างสรรพสินค้าต่างๆ สินค้าเกษตรอินทรีย์ก็จะมีราคาที่สูงกว่าสินค้าทั่วไปถึงสามเท่าตัวหรือ มากกว่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมมองเห็น โอกาสนี้ และพยายามที่จะปรับตัวเข้าไปสู่กระแสของสินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้าเพื่อสุขภาพ

 

แต่คำถามก็คือเราจะก้าวไปอย่างไร ถ้าเราได้เปรียบในกระแสนี้ เราจะเดินไปอย่างไร จะปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ไปตลอด โดยมีเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และลาวเป็นคู่แข่งอย่างนั้นหรือ

 

 

ในการประชุมวิชาการและเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมระดับนานาชาติ Go...Organic 2009 เมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2552 เป็นการประชุมที่จัดโดยสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีที่ผ่านมา ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมองเห็นเกษตรอินทรีย์ของไทยในเวทีโลกได้ชัดเจนขึ้น

 

ปัจจัยที่ผู้ประกอบการควรรู้ก็คือสินค้าเกษตรอินทรีย์ แม้ว่าจะมีราคาดีในตลาดยุโรปอเมริกาและญี่ปุ่น แต่การจะได้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องที่ยากขึ้นทุกวัน เพราะมาตรฐานต่างๆ จะมีการปรับกฎเกณฑ์ทุกปีเพื่อให้ทันสมัย และมีกฎเกณฑ์เพื่อกีดกันทางการค้ามากขึ้นทุกปี

ในอีกปัจจัยหนึ่งที่ควบคู่กันก็คือในขณะที่สินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นเทรนด์ แต่พื้นที่เพาะปลูกอาจจะน้อยลง เพราะพื้นที่ส่วนหนึ่งต้องถูกแบ่งปันเพื่อปลูกพืชพลังงาน

 

ในอีกทางหนึ่งก็มีแนวโน้มเช่นกันว่า ในขณะที่มาตรการต่างๆ มีการปรับให้ทันสมัย แต่ในอนาคตน่าจะผ่อนปรนลงด้วยเช่นกัน

 

คุณาวุฒิ บุญญานพคุณ ผู้จัดการโครงการด้านเกษตรอินทรีย์ สำนักนวัตกรรมแห่งชาติ สรุปภาพจากการประชุมครั้งที่ผ่านมาทั้งในด้านของไทยที่ต้องรับมือกับกฎระเบียบ และเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ตลาดเกษตรอินทรีย์ในอนาคต

 

แปรรูปเกษตรอินทรีย์คิดได้แล้ว

ตามที่ได้เกริ่นไว้ หากไทยยังยึดอยู่ที่การปรับความสมดุลในดินทำการเกษตรอินทรีย์เพื่อมูลค่าเพิ่ม ทำคอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่ง (Contract farming)  ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ สร้างมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ทั้งในไทยและส่งออก เช่น มาตรฐาน IFOAM จากสภาพันธุ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ ก็ดูจะช้าไปหน่อย เพราะคู่แข่งที่สำคัญก็คือประเทศที่เป็นเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมไม่ใช้สารเคมี เช่น ลาว เวียดนามมาแรง ฉะนั้นแล้วสิ่งที่ไทยควรจะมองข้ามชอตไปเลย ก็คือสินค้าแปรรูปจากเกษตรอินทรีย์ เช่น สแน็ก อาหารเสริม ขนม มีการพัฒนาไปค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็ยังไม่พอเพียง

 

"เป้าที่สำคัญ คือเราไม่ควรที่จะขายแค่ของสด พืชเป้าหมายของคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ก็คือข้าว สมุนไพร ผัก และผลไม้ไทย หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน ซึ่งมีศักยภายที่จะมาแปรรูปได้ เราส่งของสดในบางส่วน แต่ผลผลิตในส่วนที่ขนาดยังไม่ได้มาตรฐาน เราก็นำมาแปรรูปทำอาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ"

 

ส่วนผู้ที่จะแปรรูปหรือต่อยอดเกษตรอินทรีย์ในบ้านเรามีผลการศึกษาและรวบรวมฐานข้อมูลของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมการค้าเกษตรอินทรีย์ไทย พบว่าปัจจุบันงานวิจัยและนวัตกรรมที่ผ่านมามีจำนวนเพียง 270 ชิ้น โดยเฉลี่ยมีงานวิจัยประมาณ 20-30 งานวิจัยต่อปีเท่านั้น ซึ่งการประชุมในครั้งนี้จะเกิดโอกาสใหม่ๆ ที่ผู้ประกอบการไทยสามารถที่จะนำมาต่อยอดได้อย่างถูกจุด

 

http://www.organic-europe.net

 

ตรวจสอบย้อนกลับในเกษตรอินทรีย์

นอกจากนี้ ในเวทีของการประชุมดังกล่าว ยังมีการพูดถึงมาตรฐานของการตรวจสอบย้อนกลับ ที่จะนำมาใช้ร่วมในสินค้าเกษตรอินทรีย์ด้วย

 

สินค้าเกษตรทั่วไป อาจจะเป็นแค่การระบุว่ามาจากประเทศอะไร ฟาร์มอะไร แต่การปรับมาเป็นการตรวจสอบแบบย้อนกลับสำหรับเกษตรอินทรีย์ จะต้องมาปรับในรายละเอียดต่างๆ อีกมาก เช่น มาตรฐานสบู่อินทรีย์ต้องมีส่วนประกอบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะมีอะไรบ้างที่เป็นส่วนประกอบ ในกลุ่มเครื่องสำอางมีส่วนผสมที่ต้องมาดูมาปรับให้มีมาตรฐาน ตัวระบบมาตรฐานไทยเราก็ต้องเตรียมพัฒนาขึ้นมา ถ้าเราจะขายเนื้อหมูเกษตรอินทรีย์ เราไม่เคยมีมาตรฐานมาก่อน เราก็ต้องพัฒนาควบคู่กันขึ้นมาด้วย การแปรรูปสัตว์น้ำ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ต้องทำแผนระบบการพัฒนามาตรฐานการผลิต การแปรรูปที่สามารถรองรับกับมาตรฐานของยุโรปได้อีกด้วย

 

เกษตรอินทรีย์ไทยจะถูกกีดกันอะไรบ้าง

สิ่งที่เป็นประเด็นในการประชุมครั้งนี้ก็คือการใช้สารในการต้านแมลง  IFOAM ได้มีการพูดถึงสารที่ไม่อนุญาตให้ใช้ในการฆ่าแมลง เช่น สะเดา ซึ่งบ้านเราใช้ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ แต่เนื่องจากว่าสะเดาเองไม่มีในยุโรป ทางยุโรปจึงมีการออกกฎระเบียบ ห้ามไม่ให้เราใช้สารจากสะเดาในการฆ่าแมลง รวมทั้งสมุนไพรไทยตัวอื่นๆ ด้วย

 

"ยาสูบป้องกันแมลง ต้นหนอนตายยาก พืชสมุนไพรไทยทั้งหลาย ห้ามเราใช้ทั้งหมด ซึ่งในปีนี้ ทางสำนักนวัตกรรมเองก็ได้เตรียมยื่นเรื่องรวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ สะเดาและสมุนไพรไทยเพื่อเข้าไปเจรจาต่อรองในเวทีอีกด้วย"

 

ในส่วนของเมล็ดพันธุ์ที่มีการพูดกันมากคือสารเคมีที่นำมาใช้กันเชื้อรา เริ่มจากการใช้ในขั้นตอนการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ออกจำหน่าย ซึ่งที่ผ่านมาทาง IFOAM ได้ผ่อนผัน หรือปิดตาข้างหนึ่งมาตลอด แต่ในเวทีก็มีการพูดถึงกันอีกครั้ง โดยมีการระบุว่าภายในปี 2010 จะมีการตรวจสอบเรื่องเมล็ดพันธุ์อย่างเข้มข้น

 

อย่างไรก็ดี ปัญหาเรื่องเมล็ดพันธุ์ เป็นความพยายามที่ยากยิ่ง เพราะเมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่อยู่ในมือของบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้การพูดคุยในประเด็นนี้เป็นโอกาสของคนที่คิดพัฒนาเมล็ดพันธุ์ปลอดสารในอนาคตอีกช่องทางหนึ่ง

 

รวมทั้งความคืบหน้าในการที่จะเชื่อมโยง มาตรฐานของยุโรป คือ IFOAM และการจัดตั้งตัวแทนของ IFOAM ในแต่ละประเทศ เพื่อที่จะออกมาตรฐานรับรองเกษตรอินทรีย์ในประเทศนั้นๆ ได้เลย

 

สำหรับเมืองไทยและผู้ประกอบการไทย หากคิดจะทำบิสซิเนสโมเดลในตอนนี้จะต้องมองให้ไกลและมองให้คุ้มทุนอย่างที่สุด โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่จะก้าวจากการปรับสินค้าเกษตรที่ใช้สารเคมีในปัจจุบันไปสู่การเป็นฟาร์มเกษตรอินทรีย์ก็อาจจะช้าเกินไป และยังเป็นการลงทุนที่สูงด้วย ดังนั้นการมองโอกาสในธุรกิจนี้จึงต้องมองในระยะยาว วางแผนตั้งแต่การผลิต แปรรูป และการวิจัยพัฒนาเพื่อเชื่อมต่อและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 3 กันยายน 2552

Read full story

09 September 2009

วิธีการคำนวณปุ๋ยอินทรีย์สำหรับปรับปรุงดิน

0 comments

ในการปรับปรุงคุณภาพดินของสถานีทดลอง พบว่าผลวิเคราะห์ดินของสถานีทดลองมีค่า pH ค่อนข้างเป็นกรดเล็กน้อย แต่มีอินทรียวัตถุต่ำมากและมีแคลเซียมต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่พืชต้องการถึง 10 เท่า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเตรียมปุ๋ยหรือเศษอินทรียวัตถุเพิ่มลงในดิน การเพิ่มแคลเซียมสามารถใช้เศษเปลือกไข่บด หรือหินปูนบดที่ไม่เผาไฟประมาณ 200 กิโลกรัมต่อไร่ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ใช้โดโลไมท์แทนก็ได้ในอัตราเดียวกัน

วิธีการคำนวณปุ๋ยอินทรีย์สำหรับดินขนาด 1 ไร่
สมมติให้รากพืชสามารถหาอาหารได้ในความลึกเพียง 10 ซม. เท่านั้น (ในความเป็นจริงค่าจะมากกว่านี้) ดังนั้นคำนวณค่าต่างๆคือ

(1) พื้นที่ 1 ตร.ม. เท่ากับมีดิน 0.1 ลูกบาศก์เมตร

(2) พื้นที่ 1 ไร่เทียบเป็นตารางเมตรได้ 1,600 ตร.ม. จึงเท่ากับมีปริมาณดิน 160 ลบ.ม.

(3) ค่าความหนาแน่นของดิน พบว่าดินทั่วไปมีค่าเท่ากับ 1.3 – 1.5 กรัม/ลบ.ซม. คิดที่สูงสุดเพราะเป็นดินเหนียวหนาแน่นมาก คือ 1,500 กรัม ต่อ ลิตร หรือ 1.5 ตัน/ลบ.ม.

(4) ปริมาณดิน 1 ลบ.ม. มีน้ำหนัก 1.5 ตัน นั่นคือ ดิน 1 ไร่ที่คิดหน้าดินลึกเพียง 10 ซม.จะมีน้ำหนักเท่ากับ 160 x 1.5 = 240 ตัน หรือ 24,00 กิโลกรัม

ผลการวิเคราะห์ดินของสถานีทดลองพบว่ามีอินทรียวัตถุ 0.97 หรือประมาณ 1% ในขณะที่ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 3% และโดยทั่วไปปุ๋ยอินทรีย์จะมีอินทรียวัตถุ 50%


ทำการเทียบแบบ Pearson’s Square* จะได้ว่า

 

นั่นหมายความว่าใช้ดิน 47 ส่วนผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ที่มีอินทรียวัตถุ 50% จำนวน 2 ส่วนจะได้อินทรียวัตถุในดิน 3% เมื่อเทียบบัญญัติไตรยางศ์จะได้

ดิน 47 กิโลกรัม ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 2 กิโลกรัม

ดิน 24,00 กิโลกรัม จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 2 x 24,000 = 1,021.28 กก.

                                                                  47

นั่นคือต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์ครั้งละ 1.02 ตันต่อไร่ในแต่ละครั้ง แต่อินทรียวัตถุจะสลายตัวหมดได้ไม่เกิน 2 เดือน  ดังนั้นทั้งปีจึงต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์บำรุงดินขั้นต่ำ 6 ตันต่อไร่ จึงจะสามารถรักษาระดับอินทรียวัตถุในดินได้ตามความต้องการของพืช

* การคำนวณโดยใช้สี่เหลี่ยมของเพียร์สัน (Pearson's square method)
เป็นวิธีคำนวณโดยอาศัยรูปสี่เหลี่ยม เหมาะสำหรับใช้เมื่อมีวัตถุดิบเพียงสองชนิดหรือสองกลุ่ม และปริมาณที่ต้องการคำนวณจะต้องมีหน่วยในรูปร้อยละเท่านั้น ในกรณีของการคำนวณเพื่อปรับปรุงดินปริมาณอินทรีย์วัตถุที่ต้องการจะต้องมีค่าอยู่ระหว่างจำนวนอินทรีย์วัตถุที่มีอยู่ในวัตถุดิบของทั้งสองกลุ่ม

 

ขั้นตอนในการคำนวณ มีดังนี้
1. เขียนปริมาณอินทรีย์วัตถุที่ต้องการเป็นร้อยละไว้ตรงกึ่งกลางของรูปสี่เหลี่ยม ในที่นี้คือ 3

2. เขียนปริมาณอินทรีย์วัตถุซึ่งอยู่ในวัตถุดิบแต่ละชนิดที่ต้องการใช้ทั้งสองชนิดเป็นร้อยละ ไว้ตรงมุมซ้ายทั้งบน และล่างของรูปสี่เหลี่ยม ในที่นี้คือ ดิน = 1 และ ปุ๋ย = 50

3. หาผลต่างระหว่างตัวเลขที่มุมซ้ายกับตัวเลขกึ่งกลางของรูปสี่เหลี่ยมคำนวณแล้วใส่ผลต่างไว้ทางมุมขวาตามแนวเส้นทะแยงมุมของ ตัวเลขที่ใช้หาผลต่าง

ดิน 1-3 = 2

ปุ๋ย 50 –3 = 47


4. ตัวเลขที่ได้ทางมุมขวาเป็นปริมาณหรือสัดส่วนของวัตถุดิบที่เมื่อผสมวัตถุดิบทั้งสองชนิดตามสัดส่วนที่ได้นี้จะได้ดินที่มีจำนวนอินทรีย์วัตถุตรงกับความต้องการที่กำหนดไว้

อ้างอิง : อ.ธาตรี จีราพันธุ์ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์

Read full story

09 February 2009

โรงผลิตปุ๋ยหมัก

0 comments

โรงผลิตปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ

จากการที่บริษัทฯเห็นความสำคัญและสนับสนุนการลดปริมาณการใช้ปุ๋ยและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช จึงสนับสนุนให้มีการผลิตน้ำหมักชีวภาพและสารชีวภัณฑ์ต่างๆเพื่อใช้ในการเพาะปลูกภายในสถานีทดลองและแจกจ่ายให้กับเกษตรกร  ทำให้สามารถลดต้นทุนและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันจึงได้ขยายผลโดยการสร้างโรงผลิตปุ๋ยหมักขึ้นภายในสถานีทดลอง เนื่องจากปัญหาในการกำจัดขยะเศษอาหาร เศษซากผลผลิตทางการเกษตรและของเสียจากกระบวนการผลิต  โดยการรวบรวมของเสียเพื่อใช้ในการผลิตปุ๋ยหมักนั้น จะต้องทำควบคู่ไปกับการรณรงค์ให้แยกขยะภายในโรงงานด้วย เพื่อความสะดวกในการผลิต นอกจากนี้ยังลดปัญหาในการกำจัดขยะประเภทอื่นๆ เนื่องจากขยะรีไซเคิล เช่น กระป๋อง ขวดแก้ว พลาสติก กระดาษ สามารถจำหน่ายออกไปนอกโรงงานได้ ทำให้ปริมาณขยะที่เหลือไว้กำจัดภายในโรงงานลดลงเป็นจำนวนมาก

สูตรการผลิตปุ่ยหมักจากเศษอาหาร
เศษอาหาร 3 ส่วน
กากน้ำตาล 1 ส่วน
น้ำหมักชีวภาพ 1 ส่วน

Read full story

16 January 2009

Available products in Winter 2008-2009

0 comments

แปลงผักอินทรีย์

บลอคโคลี่ ผักบุ้ง ปวยเล้ง DSC00315 มะระ DSC00323

สถานีทดลองได้ทำการเพาะปลูกพืชผักด้วยวิธีทางเกษตรอินทรีย์บนเนื้อที่ 100 ตารางวา ประกอบด้วย บลอคโคลี่ ผักบุ้ง ปวยเล้ง บวบ และมะระ โดยใช้ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักที่ผลิตได้เองในสถานีทดลอง ผลผลิตที่ได้ในช่วงเริ่มแรกจะไม่ค่อยได้คุณภาพเนื่องจาก มีการระบาดของหนอน หลังจากฉีดพ่นสารสกัดชีวภาพประกอบกับสภาพอากาศที่เย็นทำให้ผลผลิตเริ่มดีขึ้น สามารถเก็บเกี่ยวได้ทุกวันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551

นอกจากนี้ยังมีการทดลองปลูกผักสลัดด้วยระบบไร้ดิน (Soiless culture or Hydroponics) ในโรงเรือน จำนวน 300 ต้น ผลผลิตที่ได้มีความสมบูรณ์ดี

Read full story

17 October 2008

ปัจจัยความสำเร็จในการทำเกษตรกรรม

2 comments

การประกอบอาชีพเกษตรกรรมให้ประสบความสำเร็จได้นั้นต้องเข้าใจถึงปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตด้านการเกษตร 3 ปัจจัยด้วยกัน คือ ปัจจัยทางกายภาพ ปัจจัยทางชีวภาพ และปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคม ที่ต้องนำมาพิจารณา เพื่อคัดเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับสภาพไร่นาของตน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้ผลิตผลที่มีปริมาณ และคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาด รวมถึงการอนุรักษ์และปรับสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นไปพร้อมกัน

 

ปัจจัยทางกายภาพ

ประกอบด้วย ดิน ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของการเกษตร เนื่องจากเป็นแหล่งอาหารการของพืชเป็นที่ค้ำจุนรากพืชทำให้ลำต้นตั้งตรงแข็งแรงเป็นที่ดูดซับน้ำสำหรับหล่อเลี้ยงต้นพืช ผลผลิตของพืชจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินที่มีส่วนประกอบของธาตุอาหารสำคัญ คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม รวมทั้งอินทรียวัตถุและธาตุอาหารรองอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช
สภาพที่ดินของประเทศไทยมีหลายลักษณะ จึงทำให้มีผลผลิตทางการเกษตรหลากหลายแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพท้องถิ่น การจำแนกสภาพพื้นที่ดินของไทยแบ่งออกได้ดังนี้
ที่สูง หมายถึง พื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป มีสภาพอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดปีจึงเหมาะสำหรับปลูกลิ้นจี่ ลำไย เชอรี่ ท้อ ไม้ดอกไม้ประดับ และพืชผักเมืองหนาว
ที่ดอน ส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝน เกษตรกรจะปลูก ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ถั่วเขียว มันสำปะหลัง ปอ และข้าวไร่ ส่วนบริเวณที่สามารถเก็บกักน้ำได้จะใช้ทำนา ในแหล่งที่มีปริมาณฝนน้อย เช่น จังหวัดชัยภูมิและบางส่วนของจังหวัดนครราชสีมา จะเหมาะสมกับการเลี้ยงสัตว์ และปลูกมะม่วงแก้ว มะม่วงหิมพานต์ มะขามหวาน ซึ่งเป็นไม้ผลที่ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี
ที่ราบลุ่ม เหมาะสมสำหรับการทำนาโดยเฉพาะในเขตชลประทาน ดินค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ มีน้ำอย่างพอเพียงจะสามารถปลูกข้าวได้ปีละ 2 ครั้งขึ้นไป บางแห่งเกษตรกรจะปรับเปลี่ยนสภาพนาเป็นร่องสวน เพื่อใช้ปลูกพืชผัก และปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นบางแห่งเกษตรกรจะขุดบ่อเลี้ยงปลาและกุ้ง ตัวอย่างเช่น ที่จังหวัดสุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา
ที่ลุ่มน้ำลึก ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาบางส่วน อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท และสุพรรณบุรี รวมเนื้อที่ประมาณ 6 ล้านไร่ พื้นที่ดังกล่าวเหมาะสำหรับปลูกข้าวขึ้นน้ำหรือข้าวฟางลอย เกษตรกรจะเริ่มเตรียมดินโดยการไถดะไถแปร เมื่อฝนเริ่มตกราวปลายเดือนเมษายนหรือต้นเดือนพฤษภาคม หลังการเตรียมดินเกษตร การจะหว่านเมล็ดข้าวแห้งแล้วไถกลบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเมล็ดข้าวได้รับความชื้นจะงอกและเจริญเติบโตอยู่ในสภาพไร่ระยะหนึ่ง เกษตรกรบางรายจะหว่านเมล็ดถั่วเขียวร่วมกับเมล็ดข้าวขึ้นน้ำ เกษตรกรบางรายอาจจะปลูกข้าวโพดเทียน ก่อนหว่านเมล็ดข้าว เกษตรกรเหล่านั้นจะเก็บเกี่ยว ถั่วเขียวและข้าวโพดเทียนพื่อจำหน่ายก่อนน้ำไหลบ่าเข้าท่วมทุ่ง และจะมีระดับน้ำลึกที่สุดประมาณ 125 เซนติเมตร ข้าวขึ้นน้ำก็ยังสามารถติดดอกออกผลได้เป็นปกติ เมื่อระดับน้ำลดลงในปลายเดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมากราคม เกษตรกรจะเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อจำหน่ายและเก็บไว้บริโภค และทำพันธุ์บางส่วน

คุณภาพของดิน

มีความสำคัญในการเกษตรเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากมีผลโดยตรงและทางอ้อมต่อพืชที่ปลูกผลทางตรงจะช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดส่วนผลทางอ้อมหากปลูกพืชในดินที่ขาดธาตุฟอสฟอรัสเมื่อน้ำพืชที่ขาดธาตุฟอสฟอรัสไปเลี้ยงสัตว์จะมีผลทำให้กระดูกสัตว์ไม่แข็งแรงและเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ
ความลึกของหน้าดิน การเพาะปลูกพืชจะได้ผลดีต้องมีหน้าดินลึก 100 เซนติเมตรเป็นอย่างน้อย เพื่อให้รากพืชสามารถหยั่งลงได้ลึกและหาอาหารได้ดีขึ้น
เนื้อดิน แบ่งออกเป็น ดินเหนียว ดินร่วน ดินทราย และดินตะกอน ในบริเวณที่เป็นดินตะกอนมักเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์
-ดินร่วนนอกจากมีความอุดมสมบูรณ์สูงแล้วยังสามารถระบายน้ำได้ดีกว่าดินเหนียวอีกด้วย
-ดินทรายเป็นดินเนื้อหยาบมีธาตุอาหารต่ำ และถูกชะล้างได้ง่ายจึงไม่เหมาะสำหรับการเพาะปลูก
-ดินกรด หรือดินที่ชาวบ้านเรียกว่าดินเปรี้ยว มีสมบัติทางเคมีไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืช เนื่องจากพิษของธาตุเหล็กและอลูมินั่ม ดินกรดชาวบ้านใช้วิธีทดสอบด้วยการบ้วนน้ำหมากลงในน้ำดินที่เป็นกรดน้ำหมากจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีดำคล้ำทันที วิธีแก้ความเป็นกรดทำได้ด้วยวิธีการใส่ปูนขาว หินปูน หรือปูนมาร์ล เพื่อลดความเป็นพิษของเหล็กและอลูมินั่มลง นอกจากนี้ยังช่วยให้ฟอสฟอรัสในดินเป็นประโยชน์ต่อพืชมากขึ้น
-ดินเค็ม เป็นที่มีเกลืออยู่ปริมาณมากจนเป็นอันตรายต่อพืชวิธีแก้ไขทำได้โดยไม่ปล่อยให้หน้าดินแห้ง เพราะจะทำให้น้ำใต้ดินนำเกลือขึ้นมาสะสมบนหน้าดิน หากดินยังมีความเค็มอยู่ให้เลือกปลูกข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ละมุด พุทรา มะขาม มะพร้าว และมะม่วงหิมพานต์ เนื่องจากสามารถทนต่อความเค็มได้ดี

การปรับปรุงและรักษาสมบัติของดินเพื่อการเกษตรกรรม

ในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เนื่องจากใช้เพาะปลูกพืชมานานจำเป็นต้องปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะในการเพาะปลูกพืช หรืออย่างน้อยควรรักษาระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินไม่ให้เสื่อมลง วิธีการปรับปรุงบำรุงดินทำได้หลายวิธี การใช้ปุ๋ย เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยยกระดับผลผลิตให้สูงขึ้น ปุ๋ยที่ใช้มี 2 ชนิด ชนิดแรกคือ ปุ๋ยเคมี ที่มีส่วนประกอบสำคัญ ของธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม หรืออาจมีธาตุรองอื่นๆ รวมอยู่ด้วยก็ได้ความต้องการปุ๋ยนั้นขึ้นอยู่กับชนิด และระยะการเจริญเติบโตของพืช ปุ๋ยเคมีเป็นธาตุที่พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว และเกษตรกรใช้ได้สะดวก ปุ๋ยชนิดที่ 2 คือ ปุ๋ยอินทรีย์ ได้จากปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชนิดดังกล่าวนอกจากจะเพิ่มธาตุอาหารในดินแล้วยังช่วยปรับปรุงดินให้ร่วนซุย ไถพรวนง่ายดูดซับน้ำ ได้ดีทั้งนี้เกษตรกรสามารถใช้วัสดุเหลือใช้ในไร่นามาใช้ประโยชน์ได้ การปลูกพืชหมุนเวียนนิยมปลูกพืชตระกูลถั่วร่วมอยู่ด้วย เนื่องจากพืชตระกูลถั่วมีแบคทีเรียอาศัยอยู่ที่ปมราก สามารถตรึงไนโตรเจนให้เป็นประโยชน์ต่อพืชได้และการปลูกพืชคลุมดินจะช่วยไม่ให้หน้าดินถูกชะล้างได้ง่ายโดยเฉพาะในพื้นที่ลาดชัน

น้ำ

น้ำช่วยละลายธาตุอาหารในดิน ทำให้พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น ช่วยลดอุณหภูมิในต้นพืชในขณะที่มีอุณหภูมิสูง แหล่งน้ำที่นำมาใช้ในการเกษตรได้มาจากน้ำฝน ห้วย หนอง คลอง บึง หรือ ได้จากเขื่อนโครงการชลประทานต่างๆ ดังนั้นการทำกิจกรรมการเกษตรใดๆ จะต้องพิจารณาถึงแหล่งน้ำเพื่อใช้เพาะปลูกพืชในฤดูแล้ง ปริมาณของน้ำจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวควบคุมขนาดของพื้นที่การเกษตร อุณหภูมิ ปริมาณฝน แสงแดด และความเร็วลม รวมเรียกว่า สภาพลมฟ้าอากาศ จะมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งพืชแต่ละชนิดมีความต้องการอุณหภูมิและแสงแดดแตกต่างกันไป

 

ปัจจัยทางชีวภาพ

มักมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และปัจจัยทางกายภาพ เช่น ในภาคใต้มีฝนตกชุก ดินอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรจึงนิยมปลูกยางพาราเป็นพืชหลัก ซึ่งมีความเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ ส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือการกระจายของน้ำฝนไม่สม่ำเสมอ อีกทั้งความอุดมสมบูรณ์ต่ำ บางส่วนเป็นดินเค็ม เกษตรกรต้องคัดเลือกปลูกมันสำปะหลัง ปอ ข้าวฟ่าง และมะม่วงหิมพานต์ เนื่องจากทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี ในบริเวณที่ลุ่มสามารถเก็บกักน้ำได้ เกษตรกรจะปลูกข้าวเหนียวไว้บริโภคในครัวเรือน ภาคเหนืออากาศหนาวเย็น เกษตรกรเลือกปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ผักสลัด กะหล่ำปลี กุหลาบ สตรอเบอรี่ ลำไย ลิ้นจี่ และท้อ เป็นต้น ในที่ลุ่มภาคกลางมีระบบการชลประทานที่สมบูรณ์ จึงเป็นแหล่งผลิตข้างที่สำคัญของประเทศ การปลูกข้าวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงทำให้โรคและแมลงศัตรูพืชระบาด อย่างรุนแรง ดังนั้นเกษตรกรจึงต้องเปลี่ยนพันธุ์ข้าวทุก 3 - 5 ปี เช่น ในจังหวัดสุพรรณบุรีการใช้เปลี่ยนการใช้พันธุ์ข้าวจาก กข 7 และสุพรรณบุรี 60 มาใช้ สุพรรณบุรี 90 ปทุมธานี 1 และชัยนาท 1 ทดแทน เนื่องจากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

ปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคม

นับว่ามีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางการพัฒนาการเกษตรเป็นอย่างมากตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายเช่น ผลของการพัฒนาชนบทที่ผ่านมา มีการสร้างถนนหนทาง ไฟฟ้าและประปาในหมู่บ้าน โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ผลกระทบที่ตามมาคือชาวชนบทส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการซื้อรถจักรยนต์ พัดลม ตู้เย็น หรือแม้แต่โทรทัศน์ ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้บางชนิดอาจไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพเลยก็มี ทั้งนี้องค์ประกอบทางเศรษฐกิจและสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเกษตรอย่างหลีกเลี้ยงไม่ได้ ดังนั้นปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่ควรนำมาร่วมพิจารณาก็คือ
แรงงาน หมายถึง การใช้กำลังกาย เข้าทำงาน เพื่อแลกกับเงินหรือสินค้าอย่างอื่น แล้วแต่จะตกลงกันระหว่างผู้จ้างและผู้ถูกจ้าง หากเกษตรกรใช้กำลังของตัวเองเรียกว่า การใช้แรงงานของตนเอง แรงงานที่ใช้ในการเกษตรมีหลายประการ คือ แรงงานที่ไม่ได้คิดเป็นตัวเงิน เช่น แรงงานในครอบครัว และแรงงานจ้างแบ่ง เป็นแรงงานจ้างตลอดปี และการจ้างบางฤดูหรือบางครั้งบางคราว ดังนั้น การพิจารณาการใช้ขนาดพื้นที่ของไร่นาต้องอาศัย จำนวนแรงงาน ทั้งนี้ลักษณะของพืชหรือสัตว์ที่ทำการผลิต ดังตัวอย่าง การปลูกผักจะใช้แรงงานมากกว่าการปลูกพืชไร่ในพื้นที่เท่ากันหรือการเลี้ยงโคนมต้องใช้ แรงงานมากกว่าวัวเนื้อ ทุน เป็นทั้งปัจจัยการผลิตมีที่เป็นตัวเงินและไม่ใช้ตัวเงิน ทั้งนี้พันธุ์สัตว์ พันธุ์พืช เครื่องมือ เครื่องจักรกลการเกษตร ขนาดเล็กและโรงเรือน จัดเป็นทุนประเภทคงทนถาวร ส่วนเมล็ดพืช อาหารสัตว์ สารเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง และเงินที่ใช้จ่ายในการดำเนินการเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต หรือเพื่อจ่ายค่าจ้างแรงงานจัดเป็นทุนประเภทหมุนเวียน ทั้งนี้การลงทุนในไร่นาของเกษตรกรย่อมจะแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น จะเห็นว่าเกษตรกรในภาคกลางจะลงทุนมากกว่าภาคอื่น ๆ อีกทั้งขนาดพื้นที่เฉลี่ยก็ยังมากที่สุดอีกด้วย เฉลี่ยประมาณ 30 ไร่ต่อครอบครัว นอกจากนี้แล้วดินยังมีความอุดมสมบูรณ์ค่อนสูง ทำให้มีการลงทุนด้านการใช้แรงงาน และเครื่องมือการเกษตรสูงกว่าภาคอื่น ๆ อีกด้วย ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแม้ว่าขนาดพื้นที่ไร่นามีขนาดใกล้เคียงกับภาคกลางก็ตามแต่เป็นภาคที่มีการลงทุนต่ำที่สุด เนื่องจากดินขาดความอุดมสมบูรณ์นั่นเอง อีกทั้งการกระจายตัวปริมาณน้ำฝนไม่สม่ำเสมอ ทำให้มีฝนทิ้งช่วงในฤดูเพาะปลูกค่อนข้างยาวนาน ส่งผลทำให้การเพาะปลูกเสียหายอยู่เสมอ

ศาสนาและวัฒนธรรม มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการเกษตรเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่นใน 4 จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่ สตูล ยะลา ปัตตานี ไป จนถึงนราธิวาส ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม หากมีการส่งเสริมและพัฒนาให้เป็นแหล่งผลิตสุกรในภาคใต้ โอกาสของโครงการดังกล่าวจะประสบผลสำเร็จคงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากขัดต่อหลักศาสนา ตลาด การผลิตสินค้าเกษตรใดๆก็ตาม เมื่อผลิตได้มากเกินความต้องการของผู้บริโภค ปัญหาสินค้าล้นตลาดย่อมเกิดขึ้น ดังนั้นการจะผลิตสินค้าใดๆ ต้องให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดเป็นสำคัญเกษตรกรต้องจัดหา ตลอดในท้องถิ่นอย่างเหมาะสม ไม่เช่นนั้นแล้ว แม้ว่าผลผลิตจะมีคุณภาพดีเพียงใดก็ไม่เกิดประโยชน์ เมื่อไม่มีตลอดรองรับสินค้า สิ่งอำนวยความสะดวกที่รัฐจัดหาให้ ไม่ว่าจะเป็นถนน ไฟฟ้า และประปา ในชุมชนที่มีปัจจัยดังกล่าวครบบริบูรณ์ ย่อมมีต้นทุนการผลิตในการขนส่งต่ำ สินค้าที่นำส่งตลาดจะไม่บอบช้ำ เกษตรกรสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็วกว่าในถิ่นที่ห่างไกลจากชุมชนออกไป จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบอาชีพทางเกษตรกรจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข และปัจจัยต่างๆ ซึ่งแตกต่างกันไป ทั้งนี้เกษตรกรจะต้องรู้จักวิธีจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในไร่นาให้เป็นระเบียบและเป็นระบบในสัดส่วนที่เหมาะสมประการสำคัญ การประกอบอาชีพเกษตรกรรมนั้นสมาชิกในครอบครัวจะต้องมีความพึงพอใจ มีเวลาพักผ่อนมีโอกาสไปวัดฟังธรรมและมีเวลาคบหาสมาคมกับเพื่อนบ้านได้ตามประเพณีอย่างเหมาะสมจึงจะนับว่า เกษตรกรผู้นั้นประสบผลสำเร็จในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างมีความสุข

ที่มา : ศูนย์สารสนเทศ กรมวิชาการเกษตร

Read full story

11 October 2008

น้ำหมักชีวภาพและสารสกัดชีวภาพจากพืชสมุนไพร (3)

0 comments

สูตรกำจัดหนอนและแมลง

หางไหล 3 กิโลกรัม
เปลือกสะเดา 3 กิโลกรัม
หนอนตายหยาก 3 กิโลกรัม
ยาสูบ (ยาเส้น) 0.5 กิโลกรัม
เหล้าขาว 1 ขวด
น้ำส้มสายชู 1 ขวดกระทิงแดง

นำสมุนไพรมาทุบพอแตก เติมเหล้าขาวและน้ำส้มสายชู แล้วเติมน้ำให้ท่วม แล้วเติมกากน้ำตาลประมาณ 2 แก้ว หมักทิ้งไว้ 7 วัน ก็นำไปใช้ อัตรา 30 – 50 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร

สูตรป้องกันราหรือไร

หัวเชื้อจุลินทรีย์ 1 ลิตร
กากน้ำตาล 1 ลิตร
ตะไคร้หอม 2 กิโลกรัม
ข่าแก่ 2 กิโลกรัม
ใบและเมล็ดสะเดา 2 กิโลกรัม

นำสมุนไพรมาโขลกให้แหลกพอประมาณ ใส่น้ำลงไปพอคั้นน้ำได้ แล้วคั้นน้ำสมุนไพรให้ได้ปริมาตร 3 ลิตร
นำหัวเชื้อจุลินทรีย์ผสมกากน้ำตาลแล้วผสมกับน้ำสมุนไพร ปิดฝาหมักทิ้งไว้ 3 วัน เมื่อครบกำหนดกรองเอาแต่น้ำ ประมาณ 0.5 ลิตรผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 3 วัน

สูตรกำจัดเพลี้ยไฟ

ใบยูคาลิปตัส 2 กิโลกรัม
ยอดสะเดา 2 กิโลกรัม
ข่าแก่ 2 กิโลกรัม
บอระเพ็ด 2 กิโลกรัม
หัวเชื้อจุลินทรีย์ 1 แก้ว
กากน้ำตาล 1 แก้ว

นำสมุนไพรแต่ละอย่างมาแยกใส่ปี๊บเติมน้ำให้เต็ม แล้วต้มจนน้ำแห้งเหลือน้ำครึ่งปี๊บ แล้วเทรวมกัน จึงใส่หัวเชื้อจุลินทรีย์ และกากน้ำตาล ปิดฝาหมักทิ้งไว้ 3 วัน จึงนำไปใช้ โดย 250 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น หรือราดในนาข้าว

 

การใช้สารสกัดชีวภาพหรือน้ำหมักชีวภาพ

ควรใช้ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ชนิดอื่น ๆ เช่น ปุ๋ยหมัก โดยใช้ปุ๋ยหมักคลุกเคล้าลงในดินขณะเตรียมดินปลูก แล้วใช้สารสกัดชีวภาพหรือน้ำหมักชีวภาพเสริมธาตุอาหารให้แก่พืชในขณะที่พืชกำลังเจริญเติบโต

ในการใช้แต่ละสูตรจะใช้ในแต่ละช่วงเวลาของการเจริญเติบโตของ เช่น สูตรฮอร์โมนจะนำไปใช้ในช่วงที่พืชกำลังจะออกดอกออกผล สูตรสมุนไพรจะใช้เฉพาะป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชเท่านั้น เพราะฉะนั้นในการใช้จะมีข้อจำกัด โดยเฉพาะสูตรทั่วไปสามารถนำมาผสมกับสูตรฮอร์โมนได้ในการนำไปฉีดพ่นหรือราดลงดิน ส่วนสูตรสมุนไพรควรใช้ต่างหาก ไม่ควรนำมาผสมกับสูตรทั่วไปหรือสูตรฮอร์โมน เพราะในสูตรสมุนไพรจะมีสารออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ สิ่งที่เราต้องการในสูตรทั่วไปและสูตรฮอร์โมนนั้น นอกจากธาตุอาหารของพืชแล้วเรายังต้องการกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ถ้าหากนำมาผสมและใช้ร่วมกับสูตรสมุนไพรจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ก็จะโดนทำลาย จุลินทรีย์ที่มีอยู่ในสารสกัดชีวภาพหรือน้ำหมักชีวภาพจะมีประโยชน์เมื่อนำไปฉีดพ่นพืชหรือราดลงในดิน จุลินทรีย์พวกนี้จะทำให้ดินโปร่ง ร่วยซุย และจะไปกำจัดจุลินทรีย์ที่ไม่มีประโยชน์ในดินและบนต้นพืช คือ จุลินทรีย์ก่อโรค นอกจากนั้นจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในสารสกัดชีวภาพหรือน้ำหมักชีวภาพยังจะไปกำจัดจุลินทรีย์ที่ไม่มีประโยชน์      (จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดการเน่าและมีกลิ่นเหม็น) ในฟาร์มของเกษตรกรได้อีกด้วย เช่น ฟาร์มสุกร หรือฟาร์มไก่ที่ส่งกลิ่นเหม็นเป็นมลพิษทางอากาศ เป็นต้น

อ้างอิง : ศูนย์วิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตทางเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Read full story

10 October 2008

น้ำหมักชีวภาพและสารสกัดชีวภาพจากพืชสมุนไพร (2)

0 comments

น้ำหมักชีวภาพ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรที่สามารถนำมาใช้เป็นปุ๋ย และป้องกันกำจัดศัตรูพืชแทนการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชได้ น้ำหมักชีวภาพประกอบด้วยสารอินทรีย์ต่างๆหลายชินด เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ และธาตุอาหารต่างๆ เป็นสารเพิ่มความต้านทานต่อโรคและแมลงให้พืช เอนไซม์บางชนิดจะทำหน้าที่ย่อยอินทรีย์วัตถุให้เป็นอาหารของจุลินทรีย์ และเป็นอาหารของพืช ฮอร์โมนที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นก็เป็นประโยชน์กับพืชถ้าให้ในปริมาณเล็กน้อย แต่หากเข้มข้นเกินไปจะทำให้พืชตายได้ ดังนั้น การใช้น้ำหมักชีวภาพจำเป็นต้องให้ในอัตราเจือจาง

น้ำหมักชีวภาพสูตรเร่งการออกดอกและบำรุงราก

ชนิดของน้ำหมักชีวภาพ

อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1) สูตรบำรุงใบและลำต้น ได้จากการหมักพืชและเศษอาหาร ปลา และหอย
2) สูตรบำรุงดอกและผล ได้จากการหมักผลไม้สุกต่างๆ
3) สูตรป้องกันศัตรูพืช ได้จากการหมักพืชสมุนไพรต่างๆ

น้ำหมักชีวภาพสูตรเร่งการเจริญเติบโต

เศษผักชนิดอวบน้ำ 1 ส่วน
ผลไม้สุกทุกชนิด 2 ส่วน
หอยเชอรี่ 1 ส่วน
หัวเชื้อจุลินทรีย์ ร้อยละ 10 ของปริมาตรน้ำหมัก
กากน้ำตาล 1 ส่วน

เตรียมวัสดุหมักตามสูตรกำหนด ถ้าสามารถบดให้ละเอียดได้ยิ่งดี ใส่ลงในถังหมัก เติมกากน้ำตาลเติมน้ำให้พอท่วมวัสดุ แล้วเติมหัวเชื้อจุลินทรีย์ประมาณ ร้อยละ 10 ของปริมาตรน้ำหมัก ผสมให้เข้ากัน ปิดฝาหมักทิ้งไว้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ นำไปผสมน้ำหนึ่งต่อหนึ่งพ่นฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้ง


น้ำหมักชีวภาพ
สูตรเร่งการออกดอกและบำรุงราก

มะละกอสุก 20 กิโลกรัม
ฟักทองแก่จัด 20 กิโลกรัม
กล้วยน้ำว้าสุก 20 กิโลกรัม
หัวเชื้อจุลินทรีย์ 2 ลิตร
กากน้ำตาล 5 ลิตร
น้ำสะอาด 100 ลิตร

หั่นผลไม้ให้ละเอียดใส่ในถังผสมให้เข้ากันเติมเชื้อจุลินทรีย์และกากน้ำตาล เติมน้ำให้ท่วมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปิดฝาหมักทิ้งไว้ 7-10 วัน จึงนำไปผสมกับน้ำ 1 : 1000 ฉีดพ่นทางใบหรือราดลงดินช่วงที่พืชผักติดดอกสัปดาห์ละครั้ง


น้ำหมักชีวภาพ
สูตรฆ่าเพลี้ยและไรแดง

ใบสาบเสือ 5 กิโลกรัม
ใบน้อยหน่า 5 กิโลกรัม
ใบหรือดอกดาวเรือง 5 กิโลกรัม
ใบสะเดา/เมล็ด 5 กิโลกรัม
โหระพา 2 กิโลกรัม
กระเทียม 1 กิโลกรัม

โขลกส่วนผสมหรือทุบให้แตก หมักในถังที่มีส่วนผสมของเหล้าขาว 40 ดีกรี (หรือใช้เอทานอล 70% เจือจาง) และน้ำส้มสายชู 5% อัตราส่วน 2 : 1 ให้ท่วมวัสดุหมักแล้วเติมหัวเชื้อจุลินทรีย์ร้อยละ 10 ของปริมาตรน้ำหมัก หมักทิ้งไว้อย่างน้อย 1 คืน

วิธีใช้ผสมสารสกัดกับน้ำอัตราส่วน 1 : 5 และเติมน้ำสบู่เหลว (สารจับใบ) เล็กน้อย แล้วนำไปฉีดพ่นทุกๆ 3 วัน

 

น้ำหมักชีวภาพสูตรกำจัดหนอนกัดกินใบและหนอนใยผัก

ใบสะเดา 2 ส่วน
ตะไคร้หอม 2 ส่วน
ขมิ้นชัน 1 ส่วน
ข่าแก่ 1 ส่วน

โขลกวัสดุให้แหลก หมักผสมกับน้ำ 8 ส่วนทิ้งไว้ 1 คืนจึงนำไปฉีดพ่น

 

น้ำหมักชีวภาพสูตรควบคุมหนอน แมลงวันและด้วงเต่าแตง

ขี้เถ้าไม้ และปูนขาวอย่างละ 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 8 ลิตรทิ้งไว้ให้ตกตะกอนประมาณ 1 คืน นำไปฉีดพ่นทุก 5 วัน

 

ในการปลูกแตงกวา สามารถใช้น้ำหมักชีวภาพสูตรต่างๆเพื่อป้องกันเพลี้ยไฟ (Haplotrips floricola) เพลี้ยอ่อน (Aphids gossypii)  ไรแดง (Tetramychus spp.)  เต่าแตงแดงและเต่าแตงดำ
สำหรับโรคราน้ำค้าง ใบด่าง ผลเน่า จะใช้บาซิลลัส ซับทิลิส (Bacillus subtilis : BT) หมักกับกากน้ำตาลเติมอากาศขยายเพิ่มจำนวน ฉีดพ่นทุกสัปดาห์

 

ประโยชน์ของการใช้น้ำหมักชีวภาพ

1) ลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการเพาะปลูก
2) ผลผลิตปราศจากสารเคมีตกค้าง ปลอดภัยต่อการบริโภค
3) ช่วยปรับสภาพของดินให้ดีขึ้น ดินโปร่ง ร่วนซุย และลดการเสื่อมสภาพของดิน
4) ช่วยในการย่อยสลายอินทรีย์สารในดินได้ดีและเร็วขึ้น

link_icon สูตรการขยายเชื้อแบคทีเรีย B. subtilis (บาซิลลัส ซับทิลีส)

Read full story

09 October 2008

น้ำหมักชีวภาพและสารสกัดชีวภาพจากพืชสมุนไพร (1)

0 comments

น้ำหมักชีวภาพเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของเกษตรอินทรีย์ ซึ่งผลิตได้จากการนำเอาเศษวัสดุเหลือทิ้ง เช่น เศษพืชผัก หรือ สัตว์ที่ยังสดอยู่ มาหมักให้เกิดการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ที่ติดมากับวัตถุดิบหรือจุลินทรีย์ที่เติมลงไปโดยใช้กากน้ำตาลเป็นสารอาหารสำหรับจุลินทรีย์ จนได้ผลิตภัณฑ์เป็นของเหลวประกอบไปด้วยกรดอินทรีย์ กรดอะมิโน กรดฮิวมิก วิตามิน แร่ธาตุ และฮอร์โมนพืช ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ดังนั้นเกษตรกรส่วนใหญ่จึงเรียกน้ำหมักชีวภาพว่า “ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ”
         

การทำน้ำหมักชีวภาพ

การทำน้ำหมักชีวภาพโดยใช้วัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตรมีส่วนประกอบดังนี้ เศษผักและเศษผลไม้ต่างๆ เศษปลา เศษหอย กากน้ำตาล (ใช้น้ำตาลทรายแดงแทนก็ได้) และหัวเชื้อจุลินทรีย์

(1) น้ำหมักชีวภาพจากพืช

นำเศษผักหรือผลไม้ที่สับ หรือบดให้ละเอียดผสมกับกากน้ำตาลอัตราส่วนประมาณ 3 ต่อ 1 คลุกให้เข้ากันใส่ในถังหรือโอ่งที่มีฝาปิดมิดชิด แล้วเติมหัวเชื้อจุลินทรีย์ประมาณ 1 ต่อน้ำหมัก 1 ใบ ประมาณ 20 กิโลกรัม คนให้เข้ากัน เพื่อเร่งอัตราการย่อยสลาย ใช้ของหนักกดทับ โดยปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 วัน ถ้าเป็นฤดูร้อนอาจใช้เวลาสั้นกว่านี้ จะได้น้ำหมักเป็นของเหลวข้น

เมื่อต้องการใช้นำไปผสมน้ำอัตราส่วน 1 : 500 หรือ 1 : 1000 สามารถใช้รดโคนต้น หรือฉีดพ่นทางใบ ถ้ามีการใช้ร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์จะช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชได้ดี

(2) การทำน้ำหมักชีวภาพจากเศษปลา

นำเศษปลาสดผสมกับกากน้ำตาลอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ให้ได้ปริมาณ 30 กิโลกรัมและหัวเชื้อจุลินทรีย์ 1 ลิตรหมักใส่ในถังปิดฝาให้สนิทประมาณ 20 – 30 วัน ถ้าจะป้องกันการเน่าเหม็นอาจใช้น้ำผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว หรือใช้เศษเปลือกสับปะรด เพราะกรดจากผลไม้ช่วยให้ค่าความเป็นกรดด่างลดลงป้องกันไม่ให้เกิดการเน่าเหม็น ส่วนสับปะรดมีเอนไซม์ (น้ำย่อย) ช่วยเร่งการย่อยสลายโปรตีนจากปลา

เมื่อต้องการนำไปใช้ให้ผสมน้ำอัตราส่วน 1 : 1000 ฉีดพ่นทางใบทุกๆ 1 สัปดาห์ หรือ 1 : 500 รดโคนต้นไม้ 2 – 3 เดือนครั้ง

 

ข้อควรพิจารณาในการทำน้ำหมักชีวภาพ

1)ความเป็นกรด ด่าง หลังสิ้นสุดกระบวนการหมัก ควรอยู่ระหว่าง 3 – 4 ถ้าไม่นำไปใช้ค่าจะเพิ่มขึ้น 4 – 4.8
2)มีค่าการนำไฟฟ้าซึ่งแสดงถึงความเข้มข้นของปริมาณธาตุอาหาร ยิ่งสูงยิ่งมีแร่ธาตุมาก
3)กรดฮิวมิกซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกับฮอร์โมนพืช ถ้าเป็นน้ำหมักชีวภาพจากพืชมีค่าระหว่าง 0.5 – 1.0 %
4)กรดอินทรีย์ เช่น กรดแลกติก กรดแอซิติก ซึ่งมีประโยชน์ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ทำให้เน่าเสีย ยับยั้งกิจกรรมจุลินทรีย์ที่เปลี่ยนรูปไนโตรเจนเป็นแอมโมเนีย และช่วยละลายสารประกอบอนินทรีย์ของแร่ธาตุบางชนิด เช่น แคลเซียมฟอสเฟต

Read full story

08 October 2008

เทคนิคการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์

0 comments

เชื้อจุลินทรีย์คือกุญแจสำคัญของระบบนิเวศ การทำการเกษตรจำเป็นต้องอาศัยกิจกรรมของ จุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุให้เป็นแร่ธาตุอาหาร ซึ่งต้องให้อยู่ในรูปสารอนินทรีย์เพื่อจะละลายน้ำได้ง่ายและพืชสามารถดูดซึมเอาไปใช้ได้ทันที แต่ผลจากการทำการเกษตรที่ไม่ถูกวิธี คือ การเผาเศษพืช การใช้ปุ๋ยเคมีเป็นเวลานานติดต่อกัน ประกอบกับประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นการสลายตัวของอินทรียวัตถุเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้ดินเสื่อมคุณภาพและปริมาณจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินน้อยลง จนไม่สามารถสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศในดินได้

การนำเอาหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นผลงานจากหน่วยงานทางราชการพัฒนาคิดค้นขึ้นใช้ในการปรับปรุงดินจึงเป็นแนวทางที่ช่วยเร่งการฟื้นฟูสภาพดินได้เร็วขึ้น แต่การใช้หัวเชื้อจุลินทรีย์ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปผง หรือเป็นหัวเชื้อเข้มข้นที่บรรจุในขวดมีอายุการผลิตหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนมาแล้ว จะทำให้มีปริมาณจุลินทรีย์ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเนื่องจากจุลินทรีย์จะตายระหว่างการเก็บรักษาและรอจำหน่าย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเพาะเลี้ยงขยายหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่อเพิ่มจำนวนมีปริมาณมากๆและเป็นการฟื้นฟูกำลังจุลินทรีย์ให้มีความแข็งแรง เมื่อนำไปใช้ทั้งใช้เร่งในกองปุ๋ยหมัก หรือราดลงดินก็พร้อมจะมีกิจกรรมได้ทันที

 

วิธีการเพาะเลี้ยงหัวเชื้อจุลินทรีย์

วัสดุและอุปกรณ์
1)กากน้ำตาลปริมาณ 100 ลิตร (สามารถใช้น้ำตาลทรายแดงแทนได้ น้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม)
2)หัวเชื้อจุลินทรีย์ของ พด. 20 ถุง หรือ อีเอ็ม 20 ลิตร
3)ถังหมักขนาด 150 ลิตร จำนวน 10 ใบ
4)ปั้มลมให้อากาศ สามารถใช้ปั้มลมที่ใช้กับตู้ปลาก็ได้ โดยต่อสายยางแยกใช้หัวทรายพ่นให้อากาศแก่จุลินทรีย์ในถังให้ครบ 10 ใบ

วิธีการ
1)เติมน้ำสะอาดลงในถังขนาด 150 ลิตร ให้ได้ปริมาณประมาณ 3 ใน 4 ของความสูงถังหรือประมาณ 100 - 120 ลิตร
2)เติมน้ำตาลหรือกากน้ำตาลประมาณ 10% - 15% ของปริมาตรน้ำ
3)เทหัวเชื้อจุลินทรีย์ 1 ขวด หรือ 1 ลิตร หรือ 1 ซองลงในถัง กวนผสมให้เข้ากัน
4)ต่อสายยางท่อให้อากาศจากปั้มลม โดยให้อากาศอย่างต่อเนื่องผ่านหัวทรายเป็นเวลา 5 – 7 วัน เชื้อจุลินทรีย์จะขยายเพิ่มจำนวนพร้อมนำเอาไปใช้

หัวเชื้อจุลินทรีย์
หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่เลี้ยงได้ 3 วัน

 

การนำเชื้อจุลินทรีย์ไปใช้

ใช้เป็นหัวเชื้อในการทำปุ๋ยหมักโดยการราดลงบนกองปุ๋ยระหว่างที่มีการคลุกผสมวัสดุต่างๆให้เข้ากัน หรือนำไปผสมกับกากน้ำตาล 1 ลิตรใช้น้ำ 20 ลิตร แล้วใช้หัวเชื้อเจือจางให้ได้อัตราส่วน 1 : 500 เพื่อราดลงดิน

หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่เพาะเลี้ยงขยายไว้นี้สามารถใช้เป็นหัวเชื้อในการทำน้ำหมักชีวภาพได้อีกด้วย โดยใช้เติมลงในถังน้ำหมักชีวภาพถังละ 1 ลิตร

Read full story

07 October 2008

สูตรการขยายเชื้อแบคทีเรีย B. subtilis (บาซิลลัส ซับทิลีส)

0 comments

Bacillus Subtilis

เชื้อแบคทีเรีย บาซิลัส ซับทีลิส (บี เอส) มีคุณสมบัติสำหรับป้องกันกำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุ และเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของโรคพืชได้หลายชนิด เช่น โรครากเน่าโคนเน่าในทุเรียน โรคเหี่ยวเขียวในพริก มะเขือ ยาสูบ โรคใบจุดสีม่วงในต้นหอม โรคหัวเน่าเละในพืชพวกขิง ข่า เป็นต้น และยังเป็นจุลินทรีย์ ที่ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ สัตว์ และไม่มีพิษตกค้างต่อสิ่งแวดล้อม

 

อุปกรณ์ในการขยายเชื้อ

1. หัวเชื้อ Bs. (เชื้อแห้งชนิดผง)  60 กรัม
2. ถังหมัก                             150 ลิตร
3. ไข่ไก่                                   5 ฟอง
4. น้ำตาล                                 5 กิโลกรัม
5. น้ำเต้าหู้                             0.5 ลิตร
6. ปั๊มลมให้อากาศ

 

วิธีการขยายเชื้อ

1. เติมน้ำเปล่าลงในถังหมัก จำนวน 100 ลิตร
2. ละลายน้ำตาลกับน้ำในถัง จากนั้นใส่น้ำเต้าหู้ลงไปคนให้เข้ากัน
3. ตีไข่แล้วเติมลงไปในถัง คนให้เข้ากัน
4. ใส่หัวเชื้อผงของ Bs. ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ
5. คนให้เข้ากัน ต่อปั๊มลมเพื่อเติมอากาศลงไป หลังจากนั้น 3 – 5 วัน สามารถนำไปใช้ได้

การนำเชื้อบีเอสไปใช้

นำเชื้อบาซิลัส ซับทีลีสไปผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 5 (เชื้อที่ทำการเพาะเลี้ยงไว้ 1 ส่วน ต่อ น้ำสะอาด 5 ส่วน) ราดรองก้นหลุมก่อนลงปลูก หรือใช้ราดบริเวณโคนต้น เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียสาเหตุโรคเหี่ยว และโรคเน่าของพืช
ข้อแนะนำ  ควรใช้ให้หมดภายใน 15 วัน เพื่อประสิทธิภาพของเชื้อสด

Read full story

04 October 2008

การปรับปรุงคุณภาพดินสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ (6)

0 comments

 

ปุ๋ยหมัก

ปุ๋ยหมัก เป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่ได้จากการนำเอาวัสดุอินทรีย์ที่เหลือทิ้งในไร่นามาหมักรวมกันแล้วปรับสภาพให้เกิดการย่อยสลายโดยอาศัยกิจกรรมของจุลินทรีย์

การใช้ปุ๋ยหมักในแปลงเกษตรอินทรีย์มีประโยชน์หลายประการดังนี้
(1) เพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุให้แก่ดินและเพิ่มปริมาณธาตุอาหารให้แก่พืช
(2) ช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน โดยธาตุอาหารพืชค่อยละลายออกมา
(3) ช่วยปรับโครงสร้างดิน โดยดินเหนียวจะมีความร่วนซุย และดินทรายมีการยึดเกาะกันมากขึ้น ทำให้ดินมีความสามารถในการอุ้มน้ำในสภาพที่เหมาะสมแก่พืช
(4) เป็นแหล่งอาหารแก่จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินและช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น

การทำปุ๋ยหมักที่ปล่อยให้เกิดการย่อยสลายตามธรรมชาติใช้เวลานานอาจถึง 3 เดือน ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานต่างๆ ของทางราชการหลายหน่วยได้คิดค้นหัวเชื้อจุลินทรีย์ใช้เป็นตัวเร่งการย่อยสลาย เช่น กรมพัฒนาที่ดิน มีหัวเชื้อชื่อ “สารเร่ง พด.” หัวเชื้อจุลินทรีย์ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นต้น โดยหัวเชื้อนี้ประกอบด้วยจุลินทรีย์หลายชนิด ทั้งเชื้อรา แบคทีเรีย และแอคติโนมัยซีส

หัวเชื้อที่เป็นตัวเร่งในการทำปุ๋ยหมัก มี 2 แบบ คือ
1) แบบแห้ง สามารถโรยใส่กองปุ๋ยหมักตามคำแนะนำข้างซอง
2) หัวเชื้อที่เป็นของเหลว ควรทำการขยายหัวเชื้อด้วยการเลี้ยงในกากน้ำตาลผสมน้ำอัตราส่วนกากน้ำตาล 1 ส่วนต่อน้ำ 20 ส่วนโดยใช้หัวเชื้อ 2 ลิตรใส่ในถังขยาย 100 ลิตร หมักทิ้งไว้ด้วยการให้อากาศผ่านปั้มลมประมาณ 4-5 วัน

 

การทำปุ๋ยหมักจากเศษมะเขือม่วง

เนื่องจากในกระบวนการคัดแยกมะเขือม่วงเพื่อใช้ในการแปรรูป จะมีมะเขือม่วงบางส่วนที่ไม่ผ่านมาตรฐาน จึงสามารถนำมาใช้ทำปุ๋ยหมัก เพื่อลดปริมาณขยะ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะมะเขือม่วงได้

การทำปุ๋ยหมัก 1,000 กิโลกรัม (1 ตัน) มีส่วนผสมดังนี้

1. เศษมะเขือม่วงสับหรือบดให้แหลก 600 กิโลกรัม
2. ปุ๋ยคอก (ขี้วัว)         300 กิโลกรัม
3. รำอ่อน 2 กระสอบ     (50 กิโลกรัม)
4. โดโลไมท์                  50 กิโลกรัม

วิธีการทำปุ๋ยหมักให้คลุกส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วราดหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่เลี้ยงขยายโดยผสมกากน้ำตาลเจือจาง 1 ลิตร ต่อ น้ำ 50 ลิตร เพื่อให้จุลินทรีย์ไปช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุให้มีขนาดเล็กลง สามารถปลดปล่อยธาตุอาหารให้ต้นพืชเอาไปใช้ได้ กลับกองปุ๋ยสัปดาห์ละครั้ง ใช้เวลาหมักประมาณ 1 เดือน ก็ใช้ได้ เมื่อนำปุ๋ยหมักอินทรีย์ไปใส่ในแปลงปลูกอินทรีย์วัตถุทั้งหลายจะถูกย่อยสลายและเปลี่ยนเป็นฮิวมัส ซึ่งเป็นแหล่งธาตุไนโตรเจนพืช ขี้วัวจะให้ธาตุอาหารพวกฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ส่วนโดโลไมท์ เป็นแหล่งธาตุอาหารรอง ได้แก่ แคลเซียม และแมกนีเซียม

 

โรยโดโลไมท์ กลับกองปุ๋ยหมัก
(ซ้าย) กองปุ๋ยหมักที่โรยด้วยโดโลไมท์
(ขวา) การกลับกองปุ๋ยหมักจากเศษมะเขือ

การดูแลกองปุ๋ยหมัก

(1)กองปุ๋ยหมักที่ทำไว้ทั้งกลางแจ้งและในโรงเรือนควรรักษาความชื้นให้พอเหมาะ มีวิธีทดสอบง่ายๆ คือ ใช้มือล้วงแล้วบีบเนื้อปุ๋ยเกาะติดกันโดยน้ำไม่ซึมหยดออกจากง่ามนิ้วมือ ถ้าไม่เกาะติดกันแสดงว่าความชื้นน้อยต้องรดน้ำ แต่ถ้าน้ำซึมออกมามากความชื้นมากเกิน ซึ่งทั้งสภาพ 2 แบบจะทำให้การย่อยสลายของกองปุ๋ยช้ากว่าปกติ นอกจากนี้ควรกลับกองปุ๋ยทุกๆ 7-10 วัน เพื่อเป็นการระบายความร้อน และยังเติมอากาศให้กับจุลินทรีย์กลุ่มที่ต้องการอากาศอีกด้วย
(2) กองปุ๋ยหมักกลางแจ้งควรระวังเรื่องฝนที่ตกลงมาชะล้างธาตุอาหาร
(3) เมื่อจะนำเอาปุ๋ยหมักไปใช้ควรให้อุณหภูมิกองปุ๋ยเย็นลงพอๆกับอุณหภูมิภายนอก หรือสีของปุ๋ยคล้ำเป็นสีน้ำตาล จึงค่อยนำเอาไปใช้

 

การใช้ปุ๋ยหมัก

เมื่อปุ๋ยหมักผ่านกระบวนการหมักจนได้ที่แล้ว การนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับพืชนั้นควรดูลักษณะของดินด้วย กรณีที่ดินไม่มีความอุดมสมบูรณ์ขาดอินทรีย์วัตถุ แร่ธาตุอาหารน้อย ดังภาพ จะรวมกันเป็นก้อนแข็งไม่ร่วนซุย สีซีดจาง ดังนั้นควรใช้วิธีใส่ปุ๋ยหมักรองพื้นก่อนปลูกพืช อัตราส่วน 2 ตันต่อไร่ แล้วไถคลุกกับดินทิ้งไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อให้มีการปลดปล่อยแร่ธาตุอาหารพืช หลังจากนั้นจึงค่อยปลูกพืช และมีการใส่ปุ๋ยหมักเป็นระยะๆ ร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ (น้ำหมักชีวภาพ) ฉีดพ่นทางใบ วิธีนี้พืชจะตอบสนองต่อแร่ธาตุอาหารได้ดีและเจริญเติบโตดี

ดินขาดอินทรีย์วัตถุ

Read full story

03 October 2008

การปรับปรุงคุณภาพดินสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ (5)

0 comments

วิธีการปรับปรุงคุณภาพดิน

ผลกระทบจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรนอกจากจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในผลิตผลการเกษตรซึ่งเป็นอันตรายโดยตรงต่อผู้บริโภคแล้วยังสะสมสารพิษในดินจนดินเสื่อมสภาพ สิ่งมีชีวิตในดินถูกทำลาย หรือเรียกว่า “ดินตาย” ดังนั้นการปรับปรุงคุณภาพดินให้มีชีวิตโดยการพึ่งพาธรรมชาติหรือเลียนแบบวิธีธรรมชาติด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ หรืออินทรียวัตถุ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของดินให้เกิดความสมดุลดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

ปุ๋ยคอก

ปุ๋ยคอกเป็นแหล่งธาตุอาหารของพืชที่หาได้ง่ายและราคาถูก เนื่องจากเกษตรกรไทยส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงสัตว์ควบคู่ไปกับการปลูกพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยง โค กระบือ ไก่ เป็ด และสุกร ทำให้ได้มูลสัตว์เป็นจำนวนมาก เมื่อนำมาผ่านกระบวนการหมักแล้ว สามารถนำเอาไปใช้ในพื้นที่แปลงเกษตรกรได้ทันที ในปุ๋ยคอกมีจุลินทรีย์ อินทรีย์วัตถุ วิตามิน และฮอร์โมนพืชบางชนิด แต่เมื่ออินทรียวัตถุถูกจุลินทรีย์ย่อยสลายแล้ว ทำให้ธาตุอาหารบางส่วนละลายไปกับน้ำและบางส่วนระเหยเป็นก๊าซ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ หรือไนโตรเจนเปลี่ยนอยู่ในรูปก๊าซแอมโมเนียที่มีกลิ่นฉุน ในปุ๋ยคอกแต่ละชนิดมีธาตุอาหารพืชไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับชนิดของสัตว์

ปริมาณธาตุอาหารหลักของพืชในปุ๋ยคอกแต่ละชนิด

ชนิดของปุ๋ยคอก    ไนโตรเจน (%)    ฟอสฟอรัส (%)    โพแทสเซียม (%)

มูลโค                     1.91                    0.56                    1.40

มูลกระบือ                1.23                    0.69                    1.66

มูลไก่                     3.77                    1.89                    1.76

มูลเป็ด                    2.15                    1.33                    1.15

มูลสุกร                   3.11                  12.20                    1.84

มูลค้างคาว              5.28                     8.42                   0.58

การใช้ปุ๋ยคอกมีข้อดี คือ เป็นวัสดุอินทรีย์ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น มีราคาถูก แต่การนำเอาปุ๋ยคอกไปใส่ให้กับต้นพืชโดยตรงอาจเป็นอันตรายแก่พืชได้ เนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นจากการหมักในดินและแรงดันออสโมติก เนื่องมาจากความเข้มของแร่ธาตุทำให้ต้นพืชสูญเสียน้ำทางราก และเหี่ยวเฉาตายในที่สุด ดังนั้นควรนำปุ๋ยคอกมาหมักให้เกิดการย่อยสลาย และไม่มีความร้อนหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ระหว่างการหมักปุ๋ยคอกความร้อนที่เกิดขึ้นสูงถึง 70 องศาเซลเซียสจะช่วยกำจัดจุลินทรีย์ก่อโรคที่ติดมากับมูลสัตว์ได้อีกด้วย จึงเป็นการลดความเสี่ยงการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ในผลิตผลการเกษตร โดยเฉพาะพวกผักสดต่างๆ ซึ่งมักประสบปัญหาเมื่อส่งออกแล้วตรวจพบเชื้อก่อโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ทำให้ต่างประเทศลดความน่าเชื่อถือ การใช้ปุ๋ยคอกและอินทรียวัตถุเพื่อปรับปรุงโครงสร้างดินอาจใช้ได้ตั้งแต่ 1 – 3 ตันต่อไร่ต่อครั้ง

ไถดินตากแล้วนำเศษพืชมาโรย ใช้แกลบเหลืองและปุ๋ยคอกโรยซ้ำ

(ซ้าย)หลังจากไถดินตากแล้วนำเศษพืชมาโรย
(ขวา)ใช้แกลบเหลืองและปุ๋ยคอกโรยซ้ำ แล้วจึงไถคลุกผสมพร้อมกับราดนำหมักจุลินทรีย์ เพื่อช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินก่อนปลูกพืช

 

ปุ๋ยพืชสด

ปุ๋ยพืชสดเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่ได้จากการไถกลบหรือตัดสับต้นพืชลงในดินขณะที่กำลังมีการออกดอกเพราะมีธาตุอาหารสมบูรณ์และได้น้ำหนักสดมาก หลังจากนั้นปล่อยให้เกิดการย่อยสลายตามธรรมชาติ ก็จะได้ธาตุอาหารสำหรับพืชที่จะปลูกต่อไป ในการปลูกพืชสำหรับเป็นปุ๋ยพืชสดนิยมพืชตระกูลถั่วมากที่สุดเพราะ ปลูกง่าย โตเร็ว มีราก ใบ ลำต้นมากและมีการสลายตัวเร็ว ถั่วที่นิยมใช้เป็นปุ๋ยพืชสด ได้แก่ ปอเทือง โสนอัฟริกัน โสนไต้หวัน โสนคางคก ถั่วที่ปกคลุมดินช่วยปราบวัชพืช ต้นและใบร่วงเป็นปุ๋ยบำรุงดิน เช่น ถั่วพร้า ถั่วลาย ถั่วอัญชัน เป็นต้น

ถั่วพร้าเจริญเติบโตคลุมวัชพืช ถั่วเขียวกำลังออกดอกพร้อมจะไถกลบ

(ซ้าย) ถั่วพร้าเจริญเติบโตคลุมวัชพืช
(ขวา) ถั่วเขียวกำลังออกดอกพร้อมจะไถกลบ

การนำเอาพืชตระกูลถั่วมาเพาะปลูกเป็นปุ๋ยพืชสดมีข้อพิจารณาดังนี้
(1)ลักษณะของดิน ต้องปรับให้เหมาะสม เช่น ถ้าดินเปรี้ยวควรใส่ปูน
(2)ฤดูกาลที่เหมาะสมควรเป็นต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม ก่อนการปลูกพืชหลักประมาณ 3 เดือน หรือปลายฤดูฝน หลังการเก็บเกี่ยวพืชหลัก โดยที่ดินยังมีความชื้นอยู่
(3)วิธีการปลูกมี 3 วิธี คือการโรยเมล็ดเป็นแถว หยอดเป็นหลุม และหว่าน ซึ่งควรไถดะก่อนหว่านเมล็ดแล้วคราดกลบ

การใช้ปุ๋ยพืชสดจะเป็นการเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุ แร่ธาตุและความอุดมสมบูรณ์แก่ดินในเวลารวดเร็ว

วิธีการใช้ปุ๋ยพืชสดทำได้ดังนี้
(1)การตัดสับและไถกลบควรทำในช่วงที่พืชมีธาตุไนโตรเจนและน้ำหนักสดสูงสุดเมื่อเริ่มออกดอกและบานเต็มที่
(2)การปลูกพืชปุ๋ยพืชสดในพื้นที่ขนาดใหญ่ใช้วิธีหว่านเมล็ดประมาณ 3 – 4 กิโลกรัมต่อไร่ และไถกลบก่อนปลูกพืชหลัก
(3)การปลูกแซมระหว่างร่องปลูกพืชหลักให้ปลูกเมื่อพืชหลักโตเต็มที่แล้วเพื่อป้องกันการแย่งธาตุอาหาร
(4)กรณีที่เกษตรกรมีพื้นที่ว่างเปล่าตามหัวไร่ปลายนาควรปลูกพืชปุ๋ยพืชสดแล้วตัดเอามาใส่ในแปลงปลูกพืชหลักและไถกลบ

Read full story

02 October 2008

การปรับปรุงคุณภาพดินสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ (4)

0 comments

แหล่งน้ำและระบบน้ำสำหรับเกษตรอินทรีย์

การจัดหาแหล่งน้ำสำหรับเกษตรอินทรีย์ถ้าเป็นแหล่งน้ำจากแม่น้ำ หรือระบบชลประทานอาจมีสารเคมีปนเปื้อน และอาจทำให้ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ อย่างไรก็ตามเกษตรกรไทยโดยเฉพาะทางภาคเหนือส่วนใหญ่ มีพื้นที่ทำกินอยู่นอกเขตชลประทานและพื้นที่เป็นภูเขาสูง จึงสามารถสร้างแหล่งเก็บน้ำฝนไว้ใช้ในแปลงเกษตรอินทรีย์ของตนเองโดยอาจทำได้ดังนี้

(1) บริเวณพื้นที่แปลงเกษตรอินทรีย์เป็นภูเขา
ให้ทำการกันพื้นที่ป่าส่วนหนึ่งไว้เป็นพื้นที่รับน้ำฝน และทำคันดินยกสูงกั้นเพื่อกักเก็บน้ำฝนบริเวณที่ลุ่มต่ำเป็นอ่างกักเก็บน้ำไว้ใช้ ซึ่งถ้ามีขนาดพื้นที่ 2-3 ไร่ และลึก 2-3 เมตร สามารถจุน้ำไว้ใช้ในแปลงเกษตรอินทรีย์พื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่ ได้ตลอดทั้งปี

(2) บริเวณแปลงเกษตรมีลำห้วยหรือลำธารตามธรรมชาติขนาดเล็กๆไหลผ่าน
ให้ทำการสร้างฝายต้นน้ำขนาดเล็กหรือฝายแม้ว อาจใช้วัสดุในท้องถิ่น เช่น ไม้ ทราย หิน มากั้น รวมทั้งไม้น้ำที่ชอบขึ้นตามลำห้วยมาปักชำเรียงแนวขวางลำห้วยไว้ วิธีนี้ถ้าลำห้วยกว้างประมาณ 5 เมตร และคันฝายสูงประมาณ 1 เมตร ฝายแม้วจะกักเก็บน้ำไว้ได้ประมาณ 500 ลูกบาศก์เมตร สามารถสร้างความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่และอาศัยแหล่งน้ำไว้ในการเกษตรได้ แต่ที่สำคัญฝายแม้วช่วยชะลอกระแสน้ำความแรงของน้ำไม่ให้ชะล้างอินทรีย์วัตถุและหน้าดินไหลไปกับกระแสน้ำ

(3) กรณีพื้นที่ทำแปลงเกษตรเป็นพื้นที่ราบ
ให้ทำการขุดสระเก็บน้ำขนาด 2 -3 ไร่ ลึกประมาณ 4 เมตร วิธีนี้อาจสิ้นแปลงค่าใช้จ่ายสูงกว่า 2 วิธีที่กล่าวมา แต่มีข้อดีคือ สามารถใช้ประโยชน์จากสระเก็บน้ำได้หลากหลาย เช่น การเลี้ยงปลาในบ่อ หรือสร้างเล้าไก่บนบ่อ ส่วนคันดินขอบบ่อสามารถปลูกพืชผักสมุนไพร กล้วยหรือไม้ผลยืนต้น การนำเอาน้ำในสระไปใช้ทำได้โดยการสูบขึ้นถังเก็บแล้วปล่อยไหลตามท่อเป็นระบบสปริงเกลอร์ การทำระบบน้ำด้วยวิธีนี้มีความสะดวกในการให้น้ำแก่พืช และประหยัดน้ำได้มาก

Read full story

01 October 2008

การปรับปรุงคุณภาพดินสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ (3)

0 comments

การทำเกษตรอินทรีย์เป็นระบบเกษตรที่เน้นความสมดุลของระบบนิเวศน์ อาศัยการเกื้อกูลกันของสิ่งมีชีวิตทั้งในดินและสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุลินทรีย์ในดินมีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายอินทรียวัตถุให้เป็นแร่ธาตุแก่พืช


บำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุ

คุณสมบัติของดิน

การปรับปรุงคุณภาพดินให้มีความอุดมสมบูรณ์จึงจำเป็นต้องศึกษาคุณสมบัติของดินก่อนซึ่งจะต้องประกอบไปด้วยคุณสมบัติ 3 ด้าน

(1) สมบัติทางเคมี คือดินต้องมีความสมดุลของแร่ธาตุอาหาร ประกอบด้วยธาตุอาหารหลักได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ธาตุอาหารรองได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน ธาตุอาหารเสริม ได้แก่ เหล็ก สังกะสี ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม แมงกานีส และคลอรีน โดยดินมีค่าความเป็นกรด-ด่างระหว่าง 6.5 – 7.0

(2) สมบัติทางกายภาพ คือดินต้องมีความสมดุลของอากาศ น้ำ กล่าวคือ ดินต้องมีโครงสร้างที่ดี ร่วนซุย อากาศถ่ายเทได้ดี มีความสามารถในการอุ้มน้ำได้ดี เพื่อช่วยให้รากพืชสามารถแผ่ขยายและชอนไชไปหาแร่ธาตุอาหารได้ง่ายในระยะที่กว้าง ไกล

(3) สมบัติทางชีวภาพ คือดินที่มีความสมดุลของสิ่งมีชีวิตในดิน ทั้งไส้เดือน และ จุลินทรีย์ซึ่งจะทำหน้าที่ย่อยสลายอินทรียวัตถุในดินให้อยู่ในรูปที่พืชนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้ จุลินทรีย์บางชนิดสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศให้เป็นประโยชน์แก่พืชได้ เช่น ไรโซเบียม นอกจากนี้ยังสร้างสารปฏิชีวนะช่วยป้องกัน กำจัดศัตรูพืชในดินได้อีกด้วย

การปรับปรุงดินด้วยพืชตระกูลถั่ว

การปรับปรุงดินในระบบเกษตรอินทรีย์

การปรับปรุงดินเพื่อสร้างความสมดุลให้แก่ดินโดยมีสมบัติที่ดีทั้งด้าน เคมี กายภาพและทางชีวภาพดังที่กล่าวมา มีข้อพิจารณาดังนี้

สิ่งที่อนุญาตให้ใช้ปรับปรุงดิน

(1) ปุ๋ยอินทรีย์ที่ผลิตจากวัสดุในไร่นา เช่น ปุ๋ยหมักจากเศษพืช ฟางข้าว ขี้เลื่อยเปลือกไม้ เศษไม้ และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอื่นๆ

(2) ปุ๋ยคอกจากสัตว์ที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ไม่ใช้อาหารจากสิ่งมีชีวิตที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม (GMO) ไม่ใช้สารเร่งการเจริญเติบโต และไม่มีการทรมานสัตว์

(3) ปุ๋ยพืชสด เศษซากพืชและวัสดุเหลือใช้ในไร่นาในรูปอินทรีย์สาร

(4) ดินพรุที่ไม่เติมสารสังเคราะห์

(5) ปุ๋ยชีวภาพและจุลินทรีย์ที่พบทั่วไปตามธรรมชาติ

(6) ปุ๋ยอินทรีย์และสิ่งขับถ่ายจากไส้เดือนดินและแมลง

(7) ดินอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ

(8) ดินชั้นบน (หน้าดิน) ที่ปลอดจากการใช้สารเคมีมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี

(9) ผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายและสาหร่ายทะเลที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ

(10) ปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่ได้จากพืชและสัตว์

(11)อุจจาระและปัสสาวะที่ผ่านกระบวนการหมักมาแล้ว (ใช้ได้เฉพาะกับพืชที่ไม่เป็นอาหารของมนุษย์เท่านั้น)

(12)ของเหลวจากระบบน้ำโสโครกจากโรงงานที่ผ่านกระบวนการหมักโดยไม่เติมสารสังเคราะห์ และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ

(13) วัสดุที่เหลือใช้จากกระบวนการในโรงงานฆ่าสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงงานน้ำตาล โรงงานมันสำปะหลัง โรงงานน้ำปลา โดยกระบวนการเหล่านั้นต้องไม่เติมสารสังเคราะห์ และต้องได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ

(14) สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชหรือสัตว์ ซึ่งได้จากธรรมชาติ

(15)สารอนินทรีย์ ได้แก่ หินบด หินฟอสเฟต หินปูนบด (ไม่เผาไฟ) ยิบซั่ม แคลเซียม ซิลิเกต แมกนีเซียมซัลเฟต แร่ดินเหนียว แร่เฟลด์สปาร์ แร่เพอร์ไลท์ ซีโอไลท์ เบนโทไนท์ หินโพแทส แคลเซียมจากสาหร่ายทะเล และสาหร่ายทะเล เปลือกหอย เถ้าถ่าน เปลือกไข่บด กระดูกป่น และเลือดแห้ง เกลือสินเธาว์ บอแรกซ์ กำมะถัน และธาตุอาหารเสริมสำหรับพืช เช่น โบรอน ทองแดง เหล็ก แมงกานีส โมลิบดินัมและสังกะสี

สิ่งที่ไม่อนุญาตให้ใช้ปรับปรุงดิน

(1) กากตะกอนจากแหล่งน้ำโสโครก (ห้ามใช้กับผัก)

(2) สารเร่งการเจริญเติบโต

(3) จุลินทรีย์และผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์ที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม

(4) สารพิษตามธรรมชาติ เช่น โลหะหนักต่างๆ

(5) ปุ๋ยเทศบาล หรือ ปุ๋ยหมักจากขยะในเมือง

Read full story

27 September 2008

การปรับปรุงคุณภาพดินสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ (2)

0 comments

การเตรียมพื้นที่สำหรับทำแปลงเกษตรอินทรีย์เมื่อพิจารณาคำพูดของคนสมัยโบราณซึ่งมักจะกล่าวเอาไว้เสมอว่า “จะปลูกพืชต้องเตรียมดิน” ชี้ให้เห็นว่าดินเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญของการเกษตร จึงต้องมีการวางแผน ปรับปรุงดินให้มีคุณสมบัติเหมาะสมกับพืชที่จะปลูก

หลักการผลิตพืชอินทรีย์มาตรฐานของประเทศไทย

กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศใช้ข้อกำหนดที่เป็นแนวทางการผลิตพืชอินทรีย์ตามมาตรฐานการผลิตพืชอินทรีย์ไว้สำหรับเกษตรกรหรือองค์กรที่ประสงค์จะผลิตพืชอินทรีย์ให้ได้การรับรอง โดยมีสาระสำคัญดังนี้

1. การคัดเลือกพื้นที่ตั้งฟาร์มเกษตรอินทรีย์

การเลือกตำแหน่งที่ตั้งของพื้นที่สำหรับจัดทำเป็นแปลงเกษตรอินทรีย์เพื่อจะขอการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์มีข้อปฏิบัติดังนี้

(1)กรณีเป็นผู้ที่บุกเบิกใหม่ไม่เคยทำการเกษตรมาก่อนในระยะเวลาย้อนหลัง 5 ปี สามารถใช้เป็นพื้นที่ผลิตพืชอินทรีย์ได้ทันที สำหรับพื้นที่ปลูกไม้ผลยืนต้นต้องไม่ใช้สารเคมีการเกษตรต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3 ปี และพื้นที่ปลูกพืชล้มลุกต้องไม่ใช้สารเคมีการเกษตรอย่างน้อย 1 ปี
(2)พื้นที่ตั้งต้องอยู่ห่างจากถนนสายหลักและห่างจากพื้นที่การเกษตรที่ใช้สารเคมี ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันและลดโอกาสการปนเปื้อนสารเคมีจากทางอากาศ ทางดิน และทางน้ำ
(3)คุณภาพดินต้องเหมาะสมสำหรับการปลูกพืช และมีแหล่งน้ำสะอาดที่เพียงพอ โดยปราศจากการปนเปื้อนสารเคมีในกิจกรรมการเกษตร

2. แหล่งน้ำที่ใช้ในฟาร์มเกษตรอินทรีย์

(1)เป็นแหล่งน้ำที่สะอาด ไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมีที่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์
(2)ควรเป็นแหล่งน้ำจากบ่อบาดาล หรือแหล่งน้ำที่กักเก็บจากน้ำฝนธรรมชาติ มีพื้นรองรับน้ำสะอาด ปราศจากกิจกรรมใดๆ ที่ใช้สารเคมีในพื้นที่รับน้ำอยู่ห่างจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะอันเป็นพิษปนเปื้อนในแหล่งน้ำ
(3)ในกรณีใช้น้ำจากแม่น้ำ น้ำจากคลองชลประทาน ต้องเก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจวิเคราะห์หาสารพิษปนเปื้อนก่อนที่จะนำไปใช้ในการผลิตพืชอินทรีย์

3. การบริหารจัดการฟาร์มเกษตรอินทรีย์

(1)มีวิธีการป้องกันการปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นพิษทั้งทางดิน น้ำและอากาศ
(2)มีวิธีการจัดการและกำจัดของเสียภายในฟาร์ม
(3)มีวิธีป้องกันการปนเปื้อนของสารเคมีในกระบวนการผลิต การเก็บรักษาและการขนส่งไปสู่ตลาด
(4)ต้องมีการวางแผนการผลิตพืชตั้งแต่การเพาะปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยว การกำหนดพื้นที่เพาะปลูกและชนิดพืชที่ปลูกควรมีความต้านทานต่อการทำลายของแมลงศัตรูพืช
(5)การใช้ปัจจัยการผลิต ไม่ใช้สารเคมีเกษตรทุกชนิดที่ได้จากการสังเคราะห์โดยมนุษย์ในทุกขั้นตอนของการผลิต เก็บเกี่ยว เก็บรักษา และการขนส่ง
(6)ต้องมีการป้องกันไม่ให้เครื่องจักร เครื่องมือการเกษตรปนเปื้อนสารเคมีเกษตร
(7)มีการบันทึกกิจกรรมการเกษตรในฟาร์มทุกกิจกรรม เช่น แหล่งที่มาของเมล็ด พันธุ์พืช ปัจจัยการผลิต การบำรุงรักษา ป้องกัน กำจัดแมลงศัตรูพืช ฯลฯ เพื่อให้สามารถตรวจสอบข้อมูลกิจกรรมการเกษตรย้อนหลังได้อย่างถูกต้อง

Read full story

26 September 2008

การปรับปรุงคุณภาพดินสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ (1)

0 comments

ปัจจุบันกระแสการดูแลรักษาสุขภาพของประชากรโลกเริ่มมีมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจในการเลือกซื้ออาหารที่ปลอดภัยและปราศจากสารเคมีต่างๆ ที่ตกค้างอยู่ในผลิตผลการเกษตรซึ่งสารเคมีตกค้างล้วนแล้วแต่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ด้วยเหตุนี้การเกษตรของประเทศหลายประเทศได้ปรับเปลี่ยนมาสู่การคิดหาวิธีการทำเกษตรกรรมที่ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ เรียกว่า เกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture) เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและได้ผลผลิตที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยการพยายามประยุกต์ใช้ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการใช้ปัจจัยการผลิตภายนอกและหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งวิธีการทำเกษตรแนวนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

เกษตรอินทรีย์คือ

ระบบการผลิตที่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมรักษาสมดุลของธรรมชาติและความหลากหลายของทางชีวภาพโดยมีระบบการจัดการนิเวศวิทยาที่คล้ายคลึงกับธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและฮอร์โมนต่าง ๆ ตลอดจนไม่ใช้พืชหรือสัตว์ที่เกิดจากการตัดต่อทางพันธุกรรมที่อาจเกิดมลพิษในสภาพแวดล้อมเน้นการใช้อินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด และ ปุ๋ยชีวภาพในการปรับปรุงบำรุงให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ต้นพืชมีความแข็งแรงสามารถต้านทานโรคและแมลงด้วยตนเอง รวมถึงการนำเอาภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้ประโยชน์ด้วย ผลผลิตที่ได้จะปลอดภัยจากสารพิษตกค้างทำให้ปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคและไม่ทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมอีกด้วย

หลักการเกษตรอินทรีย์เป็นหลักการสากลที่สอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม ภูมิอากาศและวัฒนธรรมของท้องถิ่น เนื่องจากก่อให้เกิดผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารพิษ และช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน มีหลักการของการอยู่ร่วมกันและพึ่งพิงธรรมชาติทั้งบนดินและใต้ดิน ใช้ปัจจัยการผลิตอย่างเห็นคุณค่า และมีการอนุรักษ์ให้อยู่อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบเป็นองค์รวมและความสมดุลที่เกิดจากความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศทั้งระบบ

 

หลักการและความมุ่งหมายของเกษตรอินทรีย์

(1) พัฒนาระบบการผลิตไปสู่แนวทางเกษตรผสมผสานที่มีความหลากหลายของพืชและสัตว์

(2) พัฒนาระบบการผลิตที่พึ่งพาตนเองในเรื่องของอินทรียวัตถุและธาตุอาหารภายในฟาร์ม

(3) ฟื้นฟูและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้ทรัพยากรหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

(4) รักษาความสมดุลของระบบนิเวศในฟาร์มและความยั่งยืนของระบบนิเวศโดยรวม

(5) ป้องกันและหลีกเลี่ยงการปฏิบัติที่ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม

(6) สนับสนุนระบบการผลิตและกระบวนการจัดการทุกขั้นตอนที่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม

(7) ยึดหลักการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว และการแปรรูปที่เป็นวิธีการธรรมชาติ ประหยัดพลังงาน และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

หลักวิธีการทางเกษตรอินทรีย์

ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตร

ใช้จุลินทรีย์ในการผลิต      

ใช้ปุ๋ยหมัก (ปุ๋ยอินทรีย์)

ไถพรวนด้วยเครื่องจักร

การควบคุมศัตรูพืชด้วยชีววิธี/สารอินทรีย์กำจัดศัตรูพืช

การควบคุมวัชพืชโดยการไถกลบ และปลูกพืชหมุนเวียน

Read full story

17 September 2008

การเพาะเลี้ยงเชื้อราปฏิปักษ์

0 comments

เชื้อราปฏิปักษ์ หมายถึงเชื้อราที่มีความสามารถในการต่อสู้กับศัตรูพืชได้ ซึ่งมีหลายประเภท คือ เชื้อราที่ต่อสู้กับแมลง โดยสามารถเข้าทำลายแมลง หรือเชื้อราที่เข้าทำลายเชื้อราก่อโรคในพืชหลายชนิด เช่น เชื้อราโรคเหี่ยว เป็นต้น

โรครากและโคนเน่า ซึ่งเกิดจากเชื้อราเป็นโรคที่พบได้บ่อยในการปลูกมะเขือม่วง การนำเชื้อราปฏิปักษ์มาใช้จะช่วยควบคุมโรคดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูงต่อผลผลิตและเกษตรกร เชื้อราปฏิปักษ์ที่รู้จักกันดีคือ เชื้อราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma spp.) ซึ่งเกษตรกรสามารถทำการเพาะเลี้ยงได้เอง

 

วิธีการเพาะเลี้ยงเชื้อราไตรโคเดอร์มา

วัสดุและอุปกรณ์

1. หัวเชื้อไตรโคเดอร์มาผง
2. ปลายข้าวสารประมาณ 6-10 กิโลกรัม
3. หม้อหุงข้าวไฟฟ้า
4. ถุงพลาสติกใสชนิดทนร้อนขนาด 8 x 12 นิ้ว
5. ยางรัดปากถุง
6. สำลีและแอลกอฮอล์

วิธีการ

1. หุงปลายข้าวสารด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าให้สุกประมาณ 90% อย่าให้สุกมากเกินไปเพราะจะทำให้ข้าวแฉะ แล้วตักใส่ถุงพลาสติกประมาณ 200 กรัม

 

 

 

 

2. ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดช้อนตัก พื้นโต๊ะบริเวณที่จะทำการถ่ายเชื้อให้สะอาด และใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช้ดมือผู้ท่จะทำการถ่ายเชื้อด้วย เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่โดยรอบไม่ให้ปนเปื้อน
3. ตักหัวเชื้อไตรโคเดอร์มาผง ประมาณ ครึ่งช้อนโต๊ะ ใส่ในถุงพลาสติกที่บรรจุข้าวไว้แล้ว และรัดปากถุงให้แน่น ขยำข้าวกับเชื้อเข้าด้วยกันเบาๆ อย่าให้เม็ดข้าวถูกบี้จนเละ เพราะต้องให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกเพื่อการเดินของเส้นใยเชื้อราจะง่ายขึ้น (ขั้นตอนการถ่ายหัวเชื้อนี้ต้องเลือกสถานที่ที่สะอาดและต้องระมัดระวังการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากสิ่งแวดล้อม)

4. ใช้ปลายเข็มแทงถุงพลาสติกประมาณ 20 – 30 รู เพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้ทั่วถุงแล้วแผ่ถุงข้าวให้แบนราบ

 

 

 

 

 

5. บ่มเชื้อไว้ในที่มีอากาศถ่ายเท มีแสงสว่างส่องถึงและปลอดภัยจากแมลงและมด เมื่อครบเวลา 2 วันจะเห็นเส้นใยของเชื้อราเริ่มเจริญ ให้ทำการขยำถุงข้าวเพื่อให้เชื้อกระจายตัวทั่วทั้งถุงแล้วบ่มต่ออีก 4-5 วัน จึงนำไปใช้

clip_image002[33]

 

เชื้อสด 7 วัน พร้อมนำไปใช้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

6. วิธีการนำไปใช้
(1)   ผสมน้ำ กรองเศษข้าวออก เติมกากน้ำตาลเล็กน้อย นำไปฉีดพ่นได้ทันที ป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา
(2) ให้นำเชื้อสดผสมรำข้าว (รำละเอียด) และปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกเก่า อัตราส่วน 1:4:100 โดยน้ำหนัก คลุกผสมให้เข้ากัน แล้วโรยบนแปลงที่เตรียมไว้แล้วอัตรา 100 กรัม (ประมาณ 2 กำมือ) ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตรสำหรับลดเชื้อก่อโรคในดิน ก่อนการปลูกพืชประมาณ 1 สัปดาห์


(3) นำไปผสมดินปลูกด้วยอัตราส่วน 1:4 แล้วใส่ในกระบะเพาะเมล็ด หรือกระบะเพาะต้นพันธุ์พืช


(4)  ใช้รองก้นหลุมปลูกให้ใช้ประมาณ 2 ช้อนแกงต่อหลุม
(5)  หว่านแปลงปลูกพืช อัตรา 100 กรัมต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร

 

ต้นทุนการขยายเชื้อไตรโครเดอร์ม่า

หัวเชื้อไตรโครเดอร์ม่า      0.28 บาท/กรัม
ปลายข้าว                     9.00 บาท/ลิตร ( แบ่งได้ 7 ถุง )
ข้าว                            1.28 บาท/ถุง
ถุงพลาสติก+ยางรัด         0.25 บาท

ราคาไตรโครเดอร์ม่าพร้อมใช้ ราคา 1.81 บาท/ถุง

**ต้องการคำแนะนำในการเพาะเลี้ยงเชื้อราไตรโคเดอร์มา หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริษัท เอช ซี ซัพพลาย จำกัด โทร. 053-952256-7

Read full story
Related Posts with Thumbnails

H C Supply Co.,Ltd.. Get yours at bighugelabs.com

H C Supply Co.,Ltd.
162 Moo12 Weingkalong Sub-District, Weingpapao District, Chiangrai 57260 THAILAND
Tel. +66 (0)53 952 418 Fax. +66 (0)53 952 136
E-mail : hsuchuanfoods@hotmail.com
 

H C Supply Co.,Ltd. © 2008 Business Ads Ready is Designed by Ipiet Supported by Tadpole's Notez