Showing posts with label news. Show all posts
Showing posts with label news. Show all posts

23 December 2009

รับสมัครงาน บริษัท เอช ซี ซัพพลาย จำกัด

0 comments
บริษัท เอช ซี ซัพพลาย จำกัด ในเครือ บริษัท ชวี่ เฉวียน ฟูดส์ จำกัด ดำเนินกิจการจัดหาวัตถุดิบทางการเกษตรเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร มีความต้องการพนักงานพนักงานเข้าร่วมปฏิบัติงาน 2 อัตรา
1. เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร
    คุณสมบัติ 
    ชาย/หญิง  อายุ 23-30 ปี
    วุฒิการศึกษา ปวส.(เกษตร) ถึง ปริญญาตรี (ว.ทบ.)เกษตรศาสตร์
    สามารถขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ได้ (มีใบขับขี่)
    มีประสบการณ์การทำงานด้านการส่งเสริมการเกษตร จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
    สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้
    สามารถออกเดินทางปฏิบัติงานนอกพื้นที่ได้


2. เจ้าหน้าที่วิจัยโรคพืช
    คุณสมบัติ
    ชาย/หญิง  อายุ 23-30 ปี
    วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี (ว.ทบ.)เกษตรศาสตร์ สาขาโรคพืช
    สามารถขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ได้ (มีใบขับขี่)
    หากมีประสบการณ์การทำงานด้านวิจัยโรคพืช จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
    สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้
    สามารถออกเดินทางปฏิบัติงานนอกพื้นที่ได้

ผู้ใดสนใจสามารถสมัครได้ด้วยตนเอง อีเมล์ หรือทางไปรษณีย์ที่

ฝ่ายบุคคล
บริษัท เอช ซี ซัพพลาย จำกัด
เลขที่ 224 หมู่ 9 ต.เวียงกาหลง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย 57260
โทร. 053 952256-7
โทรสาร. 053 952136
หรือที่ penporn@hotmail.com, phuphakdee@msn.com
Read full story

28 October 2009

ปลูกผักปลอดสารพิษในกระสอบเก่า

2 comments

คุณโสทร รอดคงที่ บัณฑิตหนุ่มจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี หันหลังจากงานประจำมาเริ่มต้นทำงานเกษตรแบบพอเพียง โดยการปลูกผักแบบปลอดสารพิษในกระสอบเก่า โดยแนะนำว่าสามารถใช้ได้ทั้งกระสอบปุ๋ย, กระสอบอาหารสัตว์, กระสอบแป้งสาลี หรือกระสอบต่าง ๆ ขนาดใดก็    ได้ ยกเว้นกระสอบป่าน สำหรับกระสอบปุ๋ยบางชนิดที่น้ำซึมผ่านยากนั้นควรนำมาเจาะรูให้สามารถระบายน้ำได้ก่อน แต่ถ้าเป็นกระสอบที่น้ำซึมผ่านได้ดี ก็นำมาใช้ได้เลย

 
ดินที่จะนำมาใส่กระสอบนั้น ก็จะต้องผสมให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ โดยเน้นวัสดุปลูกที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น ปุ๋ยคอกเก่า, ปุ๋ยหมัก, แกลบ, แกลบเผา, เศษใบไม้ ฯลฯ คลุกเคล้า  ให้เข้ากัน คุณโสทรแนะว่า ถ้าผสมปุ๋ยหมักจุลินทรีย์โบกาฉิ ได้ด้วยก็จะยิ่งดี   วิธีการทำปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ คือ นำปุ๋ยคอกเก่า 1 ส่วน ผสมกับรำละเอียด 1 ส่วน ผสมกับแกลบหรือหญ้าแห้ง ฟางแห้ง ทะลายปาล์ม หรืออื่น ๆ 1 ส่วน คลุกเคล้ากันให้ทั่ว จากนั้น นำกากน้ำตาล 40 ซีซี ละลายน้ำ 10 ลิตร ใส่จุลินทรีย์ 40 ซีซี คนให้เข้ากัน

 
หลังจากนั้นนำน้ำที่ได้ไปราดคลุกเคล้ากับวัสดุที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้วทดสอบว่า วัสดุปลูกใช้ได้หรือยัง ทดสอบโดยใช้มือขยำวัสดุปลูกดู หากยังมีน้ำไหลออกระหว่างนิ้ว แสดงว่าวัสดุปลูกแฉะเกินไป ให้เพิ่มวัสดุเข้าไปอีก ถ้าขยำเป็นก้อน แล้วปล่อยมือ ถ้าก้อนไม่แตกออกมาแสดงว่าพอดี ถ้าปล่อยมือแล้วก้อนวัสดุแตกทันที แสดงว่าวัสดุยังแห้งเกินไป ให้ราดน้ำจุลินทรีย์เพิ่มลงไป หมักวัสดุดังกล่าวโดยการกองไว้ในที่ร่ม    ใช้กระสอบป่านคลุม ควรกลับกองวันละ 1 ครั้ง กลับกองปุ๋ยเรื่อยไปจนกว่าจะเย็น ซึ่ง   ปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ จะ  นำมาใช้ได้ก็ราว 7-  10 วัน

  ก่อนที่จะใส่วัสดุปลูกลงในกระสอบนั้น ผู้ปลูกจะต้องรู้ก่อนว่าจะปลูกผักชนิดใด เพื่อใส่ดินให้เหมาะกับชนิดผักนั้น ๆ เช่น ถ้าปลูกผักที่มีรากยาว อย่างพริก, มะเขือเทศ, มะเขือเปราะ, มะเขือยาว ฯลฯ เราก็ต้องพับหรือม้วนปากกระสอบลงมาแล้วใส่ดินปลูกให้สูง 20-25 ซม. ถ้าปลูกผักที่มีรากสั้น อย่างผักกินใบ พวกคะน้า, กวางตุ้ง, ฮ่องเต้ ฯลฯ ก็ใส่ดินน้อยลงมา ให้สูงสัก 10-15 เซนติเมตร แต่การวางกระสอบในแนวตั้งจะทำให้ได้พื้นที่ในการปลูกน้อยแนะนำให้ใช้วิธีการใส่ดินในกระสอบประมาณครึ่งกระสอบแล้วมัดปากกระสอบด้วยเชือก วางกระสอบให้นอนลง จากนั้นก็ทำการเจาะรูที่กระสอบ อุปกรณ์ในการเจาะ หากระป๋องปลากระป๋องมาทาบแล้วใช้มีดคัตเตอร์ตัดเป็นวงกลม เพื่อให้ หยอดเมล็ดผักได้ โดยจำนวนรูที่เจาะก็ตามความเหมาะสมประมาณ 9-12 รู แล้วแต่ขนาดของกระสอบ จากนั้นนำเมล็ดผักมาหยอดปลูกได้ทันที รดน้ำเช้า-เย็น เมื่อต้นผักงอก มีใบจริง 2-3 ใบ ก็ให้รดน้ำหมักชีวภาพ.

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ http://www.dailynews.co.th

Read full story

'ก๊าซชีวภาพ' จากขี้หมูสู่ครัวเรือน

0 comments

k1 
"ก๊าซชีวภาพ” หรือ “ก๊าซขี้หมู” ของบ้านสบสาหนองฟาน ต.ดอน แก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างเจ้าของฟาร์มกับชาวบ้านเมื่อเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหามลพิษและกลิ่นเหม็นที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงหมู จึงทำให้ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์ม ร่วมกับหน่วยงานราชการสร้างระบบบ่อหมักก๊าซชีวภาพขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเรื่องมลพิษและแมลงวัน แล้วก็ต่อท่อก๊าซไปให้ชาวบ้านได้ใช้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้ชาวบ้านสามารถประหยัดค่าก๊าซหุงต้มไปได้ไม่น้อยกว่าครัวเรือนละ 50-100 บาทต่อเดือน

หลังจากนั้นชาวบ้านต่างคนก็ต่างใช้โดย ปล่อยบ่อหมักก๊าซทำงานไปตามธรรมชาติ โดยขาดการดูแลรักษา เวลาผ่านไปปริมาณก๊าซเริ่มน้อยลงจนไม่เพียงพอต่อการใช้งาน จนชาวบ้านขาดความเชื่อมั่นในระบบพลังงานทดแทน ส่งผลให้ชาวบ้านหลายคนเริ่มคิดว่าการใช้พลังงานทดแทนที่จะมาแทนก๊าซหุงต้มไม่น่าจะเป็นไปได้จริงอย่างยั่งยืน ทำให้สมาชิกที่ใช้ก๊าซในหมู่บ้านเริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ จากเดิมที่ใช้กันทั้งหมู่บ้านไม่น้อยกว่า 100 หลังคาเรือนก็ลดลงเหลือไม่ถึง 60 หลังคาเรือน
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหา วิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จึงได้วิจัยเรื่อง “การใช้ประโยชน์ของเสียจากฟาร์มสุกร โดยการ แปรสภาพเป็นพลังงานทดแทนในชุมชน

นายสุรศักดิ์ นุ่มมีศรี อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ระบุว่า ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไปพลังงานก็จะถูกทิ้งร้าง ไม่ได้รับการนำไปใช้ประโยชน์  ชาวบ้านก็จะไม่ได้มีพลังงานทางเลือกอื่น จึงได้จัดเวทีพบปะพูดคุยเพื่อแสวงหาทางออกร่วมกันขึ้นมาเพื่อให้ชาวบ้านได้มองเห็นว่าแต่ก่อนนี้เป็นอย่างไร  ปัจจุบันระบบก๊าซเขาเป็นอย่างไร   เสื่อมโทรมมากน้อยแค่ไหน โดยให้พ่อหลวงเป็นคนเล่าให้ฟัง แล้วก็ถามถึงอนาคตของชาวบ้านว่าอยากจะมีทางออกอย่างไรโดยให้ทุกคนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น  ชาวบ้านก็บอกว่าอยากจะมีพลังงานที่ดีขึ้น  มีพลังงานที่เพียงพอ จึงได้เชิญนักวิชาการมาพูดคุยให้ฟังว่า ถ้าจะทำให้พลังงานเพียงพอก็จะต้องมีการล้างบ่อ มีการเปลี่ยนระบบท่อใหม่ ชาวบ้านก็หาทางออกร่วมกันอีกครั้งเพื่อรักษาระบบพลังงานทดแทนนี้ โดยเต็มใจที่จะจ่ายครัวเรือนละ 10 บาทต่อเดือน  สำหรับเป็นค่าดูแลรักษาระบบการผลิตและระบบท่อส่งก๊าซทั้งหมด

นายสุทัศน์ คำมาลัย ผู้ใหญ่บ้านบ้านสบสาหนองฟาน และเจ้าของฟาร์มหมูซึ่งเป็นผู้ผลิตก๊าซชีวภาพให้กับชุมชน เล่าว่าปัจจุบันมีชาวบ้านที่ใช้ก๊าซจากขี้หมูจำนวน 87 ครัวเรือน โดยมีกติกาของชุมชนคือเก็บบ้านละ 10 บาท ส่วนบ้านที่ค้าขายอาหารทำร้านก๋วยเตี๋ยวก็เต็มใจที่จะจ่ายเพิ่มเป็นเดือนละ  30 บาท โดยเงินที่รวบรวมได้จะนำไปฝากธนาคาร เพื่อเอาไว้บำรุงรักษากรณีท่อแตก ล้างบ่อ และซ่อมระบบ

“ชาวบ้านตกลงกันว่าจะล้างทุก ๆ 6 เดือน เพราะที่ผ่านมาเกือบ 10 ปีเราไม่เคยได้ล้างบ่อเลย เพราะไม่เคยรู้ว่าจะต้องล้าง ทำให้ปีหลัง ๆ มีก๊าซน้อยมาก เพราะว่าข้างในบ่อหมักก๊าซเต็มไปด้วยขยะ และเศษดินเข้าไปปะปนจนแน่นบ่อ จนต้องใช้เวลาล้างกันเป็นอาทิตย์ หลังจากนั้นจึงมีก๊าซขึ้นมาสม่ำเสมอ แต่จะมีปัญหาบ้างก็ตอนฝนตกหนัก เพราะมีน้ำเข้าไปในบ่อเยอะเกินไปทำให้ก๊าซน้อยลง และบางครั้งในหน้าหนาวก็อาจจะมีก๊าซน้อยเพราะอากาศเย็นอุณหภูมิไม่เหมาะสม แต่ก๊าซที่ได้ก็เพียงพอต่อการใช้งานทุกครัวเรือน เพราะชาวบ้านใช้แค่หุงต้มไม่ได้ทำอะไรมาก แต่ทุกบ้านก็จะมีถังก๊าซหุงต้มสำรองไว้”  สุทัศน์กล่าว

...ก๊าซขี้หมูตอนนี้มีให้ใช้ได้ทั้งวันและไม่มีกลิ่นขี้หมู โดยแตกต่างจากก๊าซหุงต้มก็ตรงเรื่องของความร้อนที่จะร้อนช้ากว่าเท่านั้น แต่ก็สามารถประกอบอาหารทุกอย่างได้ตามปกติ…นับเป็นความสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง.

http://www.dailynews.co.th

Read full story

22 October 2009

เปิดจองพื้นที่จำหน่ายสินค้า "งานวันเกษตรภาคเหนือ ครั้งที่ 6 "

0 comments

ฝ่ายร้านค้าเอกชนฯ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดจองพื้นที่จำหน่ายสินค้าและบริการ รวมทั้งจองพื้นที่จำหน่ายต้นไม้และวัสดุการเกษตร ใน "งานวันเกษตรภาคเหนือ ครั้งที่ 6 " “เกษตรปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม น้อมนำเศรษฐกิจพอเพียง” ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2552 ณ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่
- การจัดจำหน่ายสินค้าและบริการฯ
การจัดจำหน่ายต้นไม้และวัสดุการเกษตรฯ


เริ่มเปิดรับสมัคร ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2552 เป็นต้น (พื้นที่มีจำนวนจำกัด)


ติดต่อ: จำหน่ายสินค้าและบริการ  งานวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ ชั้น 2 อาคารเฉลิมพระเกียรติ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โทรศัพท์ 0-5394-4090-92 ต่อ 11, 15-16 (ในเวลาราชการเท่านั้น) หรือ 081-9808894


ติดต่อ: จำหน่ายต้นไม้และวัสดุการเกษตร คุณธีรนุช 081-9808893


ดาวน์โหลดแผนผัง นิทรรศการร้านค้าเอกชน ตลาดนัดเกษตรและมหกรรมอาหาร และเงื่อนไขการจัดจำหน่ายสินค้า ต้นไม้ และใบสมัครได้ที่นี้ได้ที่นี้  http://web.agri.cmu.ac.th/rdunit/flowchart.pdf

Read full story

21 October 2009

วันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมการเกษตรครบรอบปีที่ 42

0 comments

วันนี้เป็น วันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมการเกษตรครบรอบปีที่ 42 กรมฯ ได้กำหนดจัดงาน “42 ปี ส่งเสริมการเกษตรยุคใหม่ นำเกษตรไทยสู่ความเข้มแข็ง” ขึ้นในระหว่างวันที่ 20-22 ตุลาคม นี้ ณ บริเวณกรมส่งเสริมการเกษตร บางเขน กรุงเทพฯ เวลา 08.00-20.00 น.


ภายในงานจะมีการออกร้านจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของวิสาหกิจชุมชนจากทุกภาคทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า 60 บูธ ทั้งยังมีการจัดสาธิตอาชีพการเกษตร เช่น การเพาะเห็ดฟางในตะกร้า การเพาะถั่วงอกไร้ราก การสานตะกร้าจากทางมะพร้าว การพับริบบิ้น มีนิทรรศการด้านการเกษตรที่น่าสนใจ สัมมนาวิชาการ และอย่าลืมแวะไปเยี่ยมชมและเลือกซื้อสินค้า

dailynews.co.th

Read full story

30 September 2009

ผลไม้เมืองร้อนไทย สยายปีกตีตลาดจีน

0 comments

สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญของไทย โดยมีมูลค่าส่งออกสูงถึง 200,000 ล้านบาทต่อปี และมีสินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ข้าว ผลไม้ สดแช่เย็น-แช่แข็งและแห้ง ปลาสดแช่เย็น-แช่แข็ง กุ้งสดแช่เย็น-แช่แข็ง ปลาหมึกสดแช่เย็น-แช่แข็ง กล้วยไม้ สัตว์น้ำ จำพวกครัสตาเซีย และตะพาบน้ำ เป็นต้น

 

ขณะนี้ผลไม้ไทยกำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวจีนอย่างมาก ทำให้ไทยสามารถส่งออกผลไม้คุณภาพดีไปจีนได้ปีละกว่า 5,000 ล้านบาท และปีนี้คาดว่ามูลค่าส่งออกจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก เนื่องจากกระทรวง เกษตรฯ เร่งสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้า และความปลอดภัยทางอาหารให้กับผู้นำเข้า ซึ่งเป็นช่องทางที่จะช่วยขยายตลาดส่งออกผลไม้ไทยในจีนได้เพิ่มมากขึ้น

 

นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตร และอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ร่วมกับสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำกรุงปักกิ่ง ภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดโรดโชว์ ศักยภาพผลไม้เมืองร้อนของไทยได้แก่ ทุเรียน มังคุด ลำไย เงาะ ลองกอง ส้มโอ และ กล้วยไข่ ที่ตลาดขายส่งสินค้าเกษตรซินฟาตี้ ณ กรุงปักกิ่ง ภายใต้ ชื่อ “ผลไม้มงคล สดจากไทยปลอดภัยได้มาตรฐานสากล”

 

การจัดโรดโชว์ครั้งนี้ ยังเป็นการเปิดเวทีให้ผู้ส่งออกผลไม้ของไทยได้พบปะกับผู้นำเข้าและลูกค้าชาวจีนที่มาซื้อผลไม้ ณ ตลาดผลไม้กรุงปักกิ่ง ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรให้ตรงตามความต้องการของตลาด ซึ่งผลการจัดงานปรากฏว่าได้รับความสนใจจากผู้นำเข้า ผู้ค้าส่ง-ค้าปลีก และผู้บริโภคชาวจีนเป็นจำนวนมาก

 

ปัจจุบันรัฐบาลจีนอนุญาตให้นำเข้าผลไม้ไทย จำนวน 23 ชนิด สำหรับผลไม้ที่ได้รับความนิยม ได้ แก่ ทุเรียน มังคุด ลำไย กล้วยไข่ ชมพู่ทับทิมจันทร์ มะม่วงน้ำดอกไม้ เงาะโรงเรียน ส้มโอ มะขามหวาน มะพร้าวน้ำหอม ส้ม เปลือกล่อน น้อยหน่า และแก้วมังกร นอกจากนั้นยังมีผลไม้แปรรูปหลายชนิดกำลังเป็นที่นิยมด้วย อาทิ ลำไยอบแห้ง ทุเรียนทอดกรอบ กล้วยอบกรอบ ขนุนและสับปะรดอบกรอบ เป็นต้น

ประเทศไทยได้เปิดช่องทางขนส่งสินค้าผลไม้ไปจีนเส้นทางใหม่ คือ เส้นทาง R9 จากจังหวัดมุกดาหารผ่านลาว เวียดนาม เข้าสู่ด่านโหย่อี้กว่าน เมืองผิงเสียง มณฑลกวางสีของจีน ระยะทางรวมประมาณ 1,200 กิโลเมตร ซึ่งการลำเลียงสินค้าไปยังปลายทางจะใช้ระยะเวลาสั้น ประมาณ 2-3 วัน ทำให้ชาวจีนที่อยู่ห่างไกลมีโอกาสบริโภคผลไม้ไทยที่ยังสด ใหม่ รสชาติดี และคงคุณค่าทางโภชนาการที่สมบูรณ์เหมือนกับสินค้าที่คน ไทยได้บริโภค อนาคตคาดว่าการเปิดเส้นทาง R9 จะช่วยให้ไทยสามารถกระจายสินค้า ผลไม้และสินค้าเกษตรอื่น ๆ ไปจีนได้เพิ่มขึ้น 20-30% หรือประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท

 

นางสาวเมทนี สุคนธรักษ์ ผอ.สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวเพิ่มเติมว่า การเยือนจีนครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงควบคุมคุณภาพและตรวจสอบกักกันโรค (AQSIQ) แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยฝ่ายไทยขอให้ AQSIQ มั่นใจในสินค้าเกษตรและอาหารจากไทยโดยเฉพาะผลไม้

 

นอกจากนั้น AQSIQ ยังได้เสนอ ให้มีการทำความร่วมมือในการขนส่งสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นอีก 1 เส้นทาง คือ เส้นทาง R3 ที่เชื่อมระหว่างจังหวัดเชียงรายไปยังมณฑลยูนนานของจีน ซึ่งการขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางนี้ จะทำให้เกิดการค้าสินค้าผักและผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นและทั้ง 2 ฝ่ายยังได้หารือถึงแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช พร้อมพิจารณาความก้าวหน้าเรื่องคงค้างระหว่างกัน

 

หลังเปิดเขตเสรีทางการค้าหรือ เอฟทีเอ (FTA) ระหว่างไทย-จีน ที่มีการปรับ ลดภาษีนำเข้าตามข้อตกลงเหลือร้อยละ 0 ส่งผลให้มีการขยายการค้าสินค้าผักและผลไม้ เพิ่มขึ้น โดยไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า และการเปิดใช้เส้นทาง R9 ขนส่งสินค้า ผลไม้ทางบกไปยังจีนจะเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยกระจายสินค้าผลไม้ไปจีนได้เพิ่มมากขึ้นและรวดเร็วด้วย โดยเฉพาะช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดกระจุกตัวมาก คาดว่าจะสามารถช่วยระบายสินค้าออกจากแหล่งผลิตและช่วยลดปัญหาสินค้าล้นตลาดได้

 

ข้อมูล เดลินิวส์

Read full story

28 September 2009

โอกาสของสินค้าเกษตรไทยในไต้หวัน

0 comments

eatseasonably.co.uk โดยปกติแล้วไต้หวันไม่ใช่ตลาดส่งออกหลักของสินค้าเกษตรไทย เนื่องจากไต้หวันเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านการเกษตรเป็นอย่างมาก สามารถผลิตผักและผลไม้ได้เป็นจำนวนมาก และหลายชนิดวางขายในราคาที่ถูกกว่าประเทศไทย แต่หลังจากที่ไต้หวันหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคมากขึ้น การผลิตสินค้าเกษตรจึงลดความสำคัญลง โดยส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศเท่านั้น และจะนำเข้าเฉพาะในช่วงนอกฤดูการผลิต (กรกฎาคม-กันยายนของทุกปี) ซึ่งเป็นช่วงที่พายุไต้ฝุ่นพัดผ่านเกาะไต้หวัน และมักสร้างความเสียหายให้แก่พื้นที่เกษตรของไต้หวันเป็นบริเวณกว้าง

 

Trade Update ฉบับนี้ จึงขอแนะนำข้อมูลที่น่าสนใจและกฎระเบียบที่ผู้ส่งออกควรทราบในการส่งออก สินค้าเกษตรไปยังไต้หวัน ดังนี้


ตลาดค้าส่งสินค้าพืชผักที่สำคัญในไต้หวันมีอยู่ 6 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ ประกอบด้วย ตลาดไทเป 1 และ 2 (ภาคเหนือ) ตลาดซีหลัว เมืองยวินหลิน และตลาดซีหู เมืองจางฮว่า (ภาคกลาง) ตลาดเมืองเกาสงและตลาดเมืองผิงตง (ภาคใต้) ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ ทั้งที่ผลิตจากในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ จะถูกนำมาประมูลในตลาดค้าส่งก่อนจะเปลี่ยนมาสู่ผู้ค้าปลีกต่อไป

สินค้าผักสดสำคัญที่ไต้หวันนำเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่ กะหล่ำดอก บร็อกโคลิ หน่อไม้ฝรั่ง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ถั่วลันเตา เห็ดหูหนู ผักกาดแก้ว และกะหล่ำพันธุ์ต่าง ๆ โดยนำเข้าหน่อไม้ฝรั่งจากไทยมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 57.92 ของการนำเข้าทั้งหมด ส่วนสินค้าเกษตรที่ไต้หวันต้องการนำเข้าเพิ่มเติม ได้แก่ กะหล่ำปลี ผักกาดขาวปลี ผักกาดหวานหรือสลัดคอส (Romaine Lettuce/ Cos Lettuce) ผักกาดหอมห่อ หัวไชเท้า พริก ผักชี ขึ้นฉ่าย ผักกวางตุ้ง ผักกาดแก้ว เป็นต้น

learners.in.th อย่างไรก็ดี ไต้หวันมีหน่วยงานที่ดำเนินการตรวจกักกันโรคพืชและสารตกค้างอย่างเข้มงวด ทำให้ขณะนี้ไทยยังไม่สามารถส่งออกผักหลายชนิดไปไต้หวันได้ อาทิ มะเขือ พริก ถั่วฝักยาว และผักชี ดังนั้นผู้ส่งออกไทยจึงควรใช้ความระมัดระวังในกระบวนการบรรจุผลิตภัณฑ์และการใช้ยา ฆ่าแมลงเพื่อให้สามารถผ่านมาตรฐานของฝ่ายไต้หวัน นอกจากนี้ สินค้าเกษตรที่ส่งออกไปยังไต้หวันต้องมีหนังสือรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) และหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ซึ่งผู้ส่งออกอาจต้องใช้หลักฐานประกอบเพิ่มเติม อาทิ ภาพถ่ายของแหล่งผลิต วิธีการบรรจุผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ศุลกากรไต้หวันมั่นใจว่าสินค้านั้น ๆ มีแหล่งกำเนิดในประเทศไทยจริง ทั้งนี้ อัตราภาษีนำเข้าของไต้หวันอยู่ที่ร้อยละ 0 - 30 (สินค้ากระเทียมสด เรียกเก็บในอัตรา 27 ดอลลาร์ไต้หวันต่อกิโลกรัม)

สำหรับการนำ เข้าสินค้าเกษตรอินทรีย์นั้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นมา สินค้าที่ระบุว่าเป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์ จะต้องผ่านการรับรองตราสินค้าอินทรีย์ของประเทศต้นทางโดยสภาเกษตรไต้หวัน ก่อนจึงจะสามารถใช้ตราสินค้าอินทรีย์ได้ ซึ่งขณะนี้สภาเกษตรยังอยู่ระหว่างการตรวจรับรองตราสินค้าอินทรีย์ของประเทศ ต่าง ๆ

ปัจจุบัน ไต้หวันยังคงห้ามการนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากจีน ทำให้ผู้ส่งออกไทยสามารถทำตลาดไต้หวันได้ง่ายกว่าประเทศอื่น แต่ผู้ส่งออกไทยก็ควรมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนโดยให้ความสำคัญกับการผลิต สินค้าเกรดดีมีคุณภาพสูงมากกว่าการผลิตสินค้าคุณภาพต่ำราคาถูกในปริมาณมาก เพราะสามารถขายได้ราคาดีกว่า นอกจากนี้ แนวคิดเกี่ยวกับการรับประทานเพื่อสุขภาพและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังได้ รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Friendly) หรือการทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น เพราะสามารถใช้เป็นจุดขายได้ดี

ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการส่ง ออกผักสดไปยังไต้หวัน สามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย โทรศัพท์ (88-62) 2581-1979 อี-เมล์ tteo@ms22.hinet.net หรือเว็บไซต์ www.tteo.org.tw/th/index.asp

 

ข้อมูลจาก Happytreebiz

Read full story

10 September 2009

เกษตรอินทรีย์ไทย คิดให้ไกลกว่า "ปลูกข้าว"

0 comments

มูลค่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ในตลาดโลก แต่ละปีมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย ปีละ 20 เปอร์เซ็นต์ และหากเข้าไปดูในห้างสรรพสินค้าต่างๆ สินค้าเกษตรอินทรีย์ก็จะมีราคาที่สูงกว่าสินค้าทั่วไปถึงสามเท่าตัวหรือ มากกว่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมมองเห็น โอกาสนี้ และพยายามที่จะปรับตัวเข้าไปสู่กระแสของสินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้าเพื่อสุขภาพ

 

แต่คำถามก็คือเราจะก้าวไปอย่างไร ถ้าเราได้เปรียบในกระแสนี้ เราจะเดินไปอย่างไร จะปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ไปตลอด โดยมีเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และลาวเป็นคู่แข่งอย่างนั้นหรือ

 

 

ในการประชุมวิชาการและเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมระดับนานาชาติ Go...Organic 2009 เมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2552 เป็นการประชุมที่จัดโดยสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีที่ผ่านมา ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมองเห็นเกษตรอินทรีย์ของไทยในเวทีโลกได้ชัดเจนขึ้น

 

ปัจจัยที่ผู้ประกอบการควรรู้ก็คือสินค้าเกษตรอินทรีย์ แม้ว่าจะมีราคาดีในตลาดยุโรปอเมริกาและญี่ปุ่น แต่การจะได้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องที่ยากขึ้นทุกวัน เพราะมาตรฐานต่างๆ จะมีการปรับกฎเกณฑ์ทุกปีเพื่อให้ทันสมัย และมีกฎเกณฑ์เพื่อกีดกันทางการค้ามากขึ้นทุกปี

ในอีกปัจจัยหนึ่งที่ควบคู่กันก็คือในขณะที่สินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นเทรนด์ แต่พื้นที่เพาะปลูกอาจจะน้อยลง เพราะพื้นที่ส่วนหนึ่งต้องถูกแบ่งปันเพื่อปลูกพืชพลังงาน

 

ในอีกทางหนึ่งก็มีแนวโน้มเช่นกันว่า ในขณะที่มาตรการต่างๆ มีการปรับให้ทันสมัย แต่ในอนาคตน่าจะผ่อนปรนลงด้วยเช่นกัน

 

คุณาวุฒิ บุญญานพคุณ ผู้จัดการโครงการด้านเกษตรอินทรีย์ สำนักนวัตกรรมแห่งชาติ สรุปภาพจากการประชุมครั้งที่ผ่านมาทั้งในด้านของไทยที่ต้องรับมือกับกฎระเบียบ และเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ตลาดเกษตรอินทรีย์ในอนาคต

 

แปรรูปเกษตรอินทรีย์คิดได้แล้ว

ตามที่ได้เกริ่นไว้ หากไทยยังยึดอยู่ที่การปรับความสมดุลในดินทำการเกษตรอินทรีย์เพื่อมูลค่าเพิ่ม ทำคอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่ง (Contract farming)  ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ สร้างมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ทั้งในไทยและส่งออก เช่น มาตรฐาน IFOAM จากสภาพันธุ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ ก็ดูจะช้าไปหน่อย เพราะคู่แข่งที่สำคัญก็คือประเทศที่เป็นเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมไม่ใช้สารเคมี เช่น ลาว เวียดนามมาแรง ฉะนั้นแล้วสิ่งที่ไทยควรจะมองข้ามชอตไปเลย ก็คือสินค้าแปรรูปจากเกษตรอินทรีย์ เช่น สแน็ก อาหารเสริม ขนม มีการพัฒนาไปค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็ยังไม่พอเพียง

 

"เป้าที่สำคัญ คือเราไม่ควรที่จะขายแค่ของสด พืชเป้าหมายของคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ก็คือข้าว สมุนไพร ผัก และผลไม้ไทย หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน ซึ่งมีศักยภายที่จะมาแปรรูปได้ เราส่งของสดในบางส่วน แต่ผลผลิตในส่วนที่ขนาดยังไม่ได้มาตรฐาน เราก็นำมาแปรรูปทำอาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ"

 

ส่วนผู้ที่จะแปรรูปหรือต่อยอดเกษตรอินทรีย์ในบ้านเรามีผลการศึกษาและรวบรวมฐานข้อมูลของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมการค้าเกษตรอินทรีย์ไทย พบว่าปัจจุบันงานวิจัยและนวัตกรรมที่ผ่านมามีจำนวนเพียง 270 ชิ้น โดยเฉลี่ยมีงานวิจัยประมาณ 20-30 งานวิจัยต่อปีเท่านั้น ซึ่งการประชุมในครั้งนี้จะเกิดโอกาสใหม่ๆ ที่ผู้ประกอบการไทยสามารถที่จะนำมาต่อยอดได้อย่างถูกจุด

 

http://www.organic-europe.net

 

ตรวจสอบย้อนกลับในเกษตรอินทรีย์

นอกจากนี้ ในเวทีของการประชุมดังกล่าว ยังมีการพูดถึงมาตรฐานของการตรวจสอบย้อนกลับ ที่จะนำมาใช้ร่วมในสินค้าเกษตรอินทรีย์ด้วย

 

สินค้าเกษตรทั่วไป อาจจะเป็นแค่การระบุว่ามาจากประเทศอะไร ฟาร์มอะไร แต่การปรับมาเป็นการตรวจสอบแบบย้อนกลับสำหรับเกษตรอินทรีย์ จะต้องมาปรับในรายละเอียดต่างๆ อีกมาก เช่น มาตรฐานสบู่อินทรีย์ต้องมีส่วนประกอบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะมีอะไรบ้างที่เป็นส่วนประกอบ ในกลุ่มเครื่องสำอางมีส่วนผสมที่ต้องมาดูมาปรับให้มีมาตรฐาน ตัวระบบมาตรฐานไทยเราก็ต้องเตรียมพัฒนาขึ้นมา ถ้าเราจะขายเนื้อหมูเกษตรอินทรีย์ เราไม่เคยมีมาตรฐานมาก่อน เราก็ต้องพัฒนาควบคู่กันขึ้นมาด้วย การแปรรูปสัตว์น้ำ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ต้องทำแผนระบบการพัฒนามาตรฐานการผลิต การแปรรูปที่สามารถรองรับกับมาตรฐานของยุโรปได้อีกด้วย

 

เกษตรอินทรีย์ไทยจะถูกกีดกันอะไรบ้าง

สิ่งที่เป็นประเด็นในการประชุมครั้งนี้ก็คือการใช้สารในการต้านแมลง  IFOAM ได้มีการพูดถึงสารที่ไม่อนุญาตให้ใช้ในการฆ่าแมลง เช่น สะเดา ซึ่งบ้านเราใช้ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ แต่เนื่องจากว่าสะเดาเองไม่มีในยุโรป ทางยุโรปจึงมีการออกกฎระเบียบ ห้ามไม่ให้เราใช้สารจากสะเดาในการฆ่าแมลง รวมทั้งสมุนไพรไทยตัวอื่นๆ ด้วย

 

"ยาสูบป้องกันแมลง ต้นหนอนตายยาก พืชสมุนไพรไทยทั้งหลาย ห้ามเราใช้ทั้งหมด ซึ่งในปีนี้ ทางสำนักนวัตกรรมเองก็ได้เตรียมยื่นเรื่องรวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ สะเดาและสมุนไพรไทยเพื่อเข้าไปเจรจาต่อรองในเวทีอีกด้วย"

 

ในส่วนของเมล็ดพันธุ์ที่มีการพูดกันมากคือสารเคมีที่นำมาใช้กันเชื้อรา เริ่มจากการใช้ในขั้นตอนการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ออกจำหน่าย ซึ่งที่ผ่านมาทาง IFOAM ได้ผ่อนผัน หรือปิดตาข้างหนึ่งมาตลอด แต่ในเวทีก็มีการพูดถึงกันอีกครั้ง โดยมีการระบุว่าภายในปี 2010 จะมีการตรวจสอบเรื่องเมล็ดพันธุ์อย่างเข้มข้น

 

อย่างไรก็ดี ปัญหาเรื่องเมล็ดพันธุ์ เป็นความพยายามที่ยากยิ่ง เพราะเมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่อยู่ในมือของบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้การพูดคุยในประเด็นนี้เป็นโอกาสของคนที่คิดพัฒนาเมล็ดพันธุ์ปลอดสารในอนาคตอีกช่องทางหนึ่ง

 

รวมทั้งความคืบหน้าในการที่จะเชื่อมโยง มาตรฐานของยุโรป คือ IFOAM และการจัดตั้งตัวแทนของ IFOAM ในแต่ละประเทศ เพื่อที่จะออกมาตรฐานรับรองเกษตรอินทรีย์ในประเทศนั้นๆ ได้เลย

 

สำหรับเมืองไทยและผู้ประกอบการไทย หากคิดจะทำบิสซิเนสโมเดลในตอนนี้จะต้องมองให้ไกลและมองให้คุ้มทุนอย่างที่สุด โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่จะก้าวจากการปรับสินค้าเกษตรที่ใช้สารเคมีในปัจจุบันไปสู่การเป็นฟาร์มเกษตรอินทรีย์ก็อาจจะช้าเกินไป และยังเป็นการลงทุนที่สูงด้วย ดังนั้นการมองโอกาสในธุรกิจนี้จึงต้องมองในระยะยาว วางแผนตั้งแต่การผลิต แปรรูป และการวิจัยพัฒนาเพื่อเชื่อมต่อและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 3 กันยายน 2552

Read full story

09 September 2009

บริโภคผักสมุนไพร ต้านภัยหวัด 2009

0 comments

ภาพจาก www.lifestyles.net

ผักพื้นบ้านและสมุนไพรไทย นับเป็นภูมิปัญญาไทยชั้นเลิศที่ช่วยรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ห่าง ไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ดังนั้น ในยุคที่โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่กำลังระบาดไปทั่ว แถมยังไม่มีวัคซีนป้องกัน รศ.ดร.พร้อมจิต ศรลัมพ์ เภสัชกรหญิงแห่ง ม.มหิดล จึงออกมาแนะนำให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านที่มีอยู่แล้ว โดยนำมาปรุงเป็นอาหารรับประทาน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง และยังต้านภัยไข้หวัดได้อีกต่างหาก

รศ.ดร.พร้อมจิตเผยว่า คนไทยเรานั้นโชคดีที่มีความหลากหลายทางทรัพยากรและภูมิปัญญา ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ครั้งนี้ เป็นเพราะเราไม่รู้จักมาก่อน และร่างกายเราเองก็ไม่รู้จัก ในทางทฤษฎีการแพทย์แผนไทยเน้นการป้องกันก่อนเกิดโรค การบริโภคพืชผักและสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อโรค (แอนตี้ออกซิเดนท์) จึงถือเป็นการป้องกันจากภายใน โดยเข้าไปช่วยการสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับเม็ดเลือดขาว ซึ่งคนโบราณมีวิธีแยกความแตกต่างและคุณประโยชน์ของผักและสมุนไพรพื้นบ้าน จากสี กลิ่นและรสชาติ อาทิ หอมแดง จะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ส่วนผักที่มีรสเปรี้ยว ฝาด จะมีกรดวิตามินซีสูง เพิ่มความต้านทานไข้หวัด

สำหรับพืชผักที่ควรนำมาบริโภคในช่วงไข้หวัดระบาดนี้ ได้แก่ กลุ่มผักมีสี อาทิ กระเจี๊ยบแดง มะเขือเทศ มะละกอ กลุ่มที่มีกลิ่นหอม อาทิ หอมแดง กระชาย มะตูม กลุ่มที่มีรสเปรี้ยว อาทิ สมอ มะขามป้อม ส่วนที่มีรสเผ็ดร้อน อาทิ ขิง ขมิ้น โหระพา กะเพรา กลุ่มที่มีรสฝาด อาทิ สมอไทย สมอพิเภก ชาเขียว สำหรับรสขม ได้แก่ สะเดา เพกา ซึ่งมีวิตามินซีสูงมาก และเมนูที่น่าจะเป็นที่ถูกใจแม่บ้านยุคใหม่ที่คำนึงถึงเรื่องความสวยความงามของร่างกาย คือกลุ่มเมนูยำผักสมุนไพรต่างๆ เพราะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ที่สำคัญใช้เวลาในการปรุงไม่มาก แถมให้รสชาติถูกปาก คือมีรสเปรี้ยว หวาน เค็ม กลมกล่อม ซึ่งควรจะ บริโภคเมนูยำผักสมุนไพรเป็นประจำทุกวัน เพราะนอกจากจะมีวิตามินซีสูงต้านทานไข้หวัดแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน ลดการเกิดมะเร็ง อันจะเป็นผลดีในระยะยาว

 

ข้อมูล หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 1 กันยายน 2552

Read full story

05 February 2009

'มันหวานญี่ปุ่น' ปลูกได้ในประเทศไทย

1 comments

ในแปลงทดลองของแผนกฟาร์ม ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร จ.พิจิตร ได้ทำการทดลองปลูกมันเทศสายพันธุ์ต่างประเทศมานานประมาณ 4 ปี เริ่มจากการนำมันเทศเนื้อสีส้มจากประเทศออสเตรเลียมาทดลองปลูกในบ้านเราได้ผลผลิตและคุณภาพดีและได้ผลิตส่งขายยังซูเปอร์มาร์เกต ของห้างสรรพ สินค้าชั้นนำในกรุงเทพมหานคร ได้ผลตอบรับจากผู้บริโภคด้วยดีเสมอมาและได้มีการขยายพื้นที่ปลูกออกไปในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้งได้มีการนำผลผลิตไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อีกมากมาย อาทิ น้ำมันเทศเนื้อสีส้มพร้อมดื่ม, ผลิตเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ
นอกจากมันเทศเนื้อสีส้มแล้ว ทางชมรมฯยังได้นำมันเทศเนื้อสีม่วงจากประเทศญี่ปุ่นมาทดลองปลูกได้ผลผลิตและคุณภาพดีไม่แพ้กัน แต่มันเทศเนื้อสีม่วงมีจุดอ่อนตรงที่เมื่อปลูกต่อเนื่องหลายรุ่นสีม่วงของเนื้อมันเทศอาจจะมีความแปรปรวนไม่ได้ผลผลิตเนื้อสีม่วงเข้มเช่นเดิม ในขณะนี้ ได้มีการนำมันเทศเนื้อสีเหลืองจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีคุณสมบัติของเนื้อเหนียวแน่นและมีจุดเด่นตรงที่มีรสชาติหวานกว่า มันเทศเนื้อสีอื่น ๆ หลายคนเรียกว่า “มันหวานญี่ปุ่น” (Japanese Sweet Potato) ซึ่งมันเทศเนื้อสีเหลืองสายพันธุ์นี้เป็นมันเทศที่มีชื่อเสียงของประเทศ ญี่ปุ่น มีการสั่งนำเข้ามาขายในบ้านเราในซูเปอร์มาร์เกต ห้างสรรพสินค้าใหญ่หลายแห่งในราคาขายถึงผู้บริโภคเฉลี่ยกิโลกรัมละ 90-100 บาท จัดเป็นมันเทศที่มีราคาแพงที่สุดในขณะนี้ ในขณะเดียวกันจัดเป็นมันเทศที่มีรสชาติอร่อยที่สุดเช่นกัน
ทางชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรได้เริ่มนำหัวมันเหลืองญี่ปุ่นหรืออาจจะเรียก “มันเหลืองญี่ปุ่น” มาทดลองปลูกโดยจัดแปลงการปลูกที่มีการดูแลรักษาเหมือนกับการปลูกมันเทศ เนื้อสีส้มทุกประการ แต่ในการจัดแปลงปลูกจะแบ่งล็อกเป็นแปลงละ 1 งาน เพื่อการจัดการแปลงและดูแลรักษาได้ง่าย ปลูกไปได้นานประมาณ 120 วัน เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้หัวมันเทศที่ มีลักษณะเหมือนกับมันเทศที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ลักษณะของหัวมันเทศจะเรียวยาวคล้ายกับผักกาดหัว (หัวไชเท้า) ผิวเปลือกมีสีม่วงอมแดง ได้มีการทดลองปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตมาแล้ว 2 ครั้ง จนมีความมั่นใจว่าปลูกและให้ผลผลิตและมีคุณภาพดีไม่แพ้ที่ปลูกในญี่ปุ่น จึงได้ทำ การขยายพื้นที่ปลูกเพื่อผลิตส่งขายให้กับเครือ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ทำให้คนไทยจะได้บริโภค Japanese Sweet Potato ที่ปลูกในประเทศไทยแต่มีราคาถึงผู้บริโภคคนไทยถูกลง
เกษตรกรจะปลูกมันหวานญี่ปุ่นให้ประสบความสำเร็จนั้น ปัจจัยอันดับแรกที่ไม่ควรมองข้ามคือเรื่องของสภาพของโครงสร้างดินที่จะปลูก ถึงแม้ว่ามันเทศจะเจริญเติบโตได้ในดินเกือบทุกชนิด แต่ดินร่วนปนทรายมีความเหมาะสมมากที่สุด

ที่มา เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 30 มกราคม 2552

Read full story

10 November 2008

ญี่ปุ่นผุดสวนผักบนดาดฟ้าตึกกลางกรุง ช่วยลดภาวะโลกร้อน ...ลดคนตกงาน

1 comments

ขณะที่สหรัฐอเมริกากำลังดีใจกับ "ผู้นำคนใหม่" ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสร้าง"ปาฏิหาริย์" ครั้งยิ่งใหญ่ทางการเมือง ที่สหรัฐอเมริกากำลังจะมีประธานาธิบดีเป็นคนผิวสีครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากนายบารัค โอบามา สามารถคว้าชัยชนะในสนามเลือกตั้งมาได้อย่างงดงาม
ส่วนที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตอนนี้ก็กำลังมี "สวนผักสไตล์ใหม่" ที่กำลังผุดขึ้นเรื่อยๆบนดาดฟ้าของตึกสูงใหญ่!!! สวนผักที่หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีใครกล้าคิดหรอกว่าจะได้เห็น แต่ตอนนี้กลับกำลังเป็นโครงการหนึ่งที่บริษัท พาโซนา กรุ๊ป ของญี่ปุ่น กำลังผลักดันให้แพร่ขยายผ่านโครงการที่ชื่อว่า พาโซนา โอทู (Pasona O2) ที่มีเป้าหมายต้องการสนับสนุนให้เจ้าของออฟฟิศ เจ้าของตึก สละพื้นที่บนหลังคาตึกหรือดาดฟ้ามาปลูกผัก ปลูกมัน เพื่อช่วยกันลดภาวะโลกร้อน แล้วยังเป็นการช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคารสำนักงาน ด้วยว่าสวนผักบนหลังคา จะช่วยลดทอนความร้อนจากแสงอาทิตย์ ทำให้ลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศ แถมยังเป็นการสร้างอาชีพใหม่ให้แก่คนกรุงได้ด้วยในภาวะที่กำลังจะมีคนตกงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากสภาพเศรษฐกิจที่กำลังทรุดหนัก ที่จะได้หันมาปลูกผักสดที่สะอาดปลอดสารพิษสารเคมีไว้ขายและรับประทานเองด้วย!!

ซายากะ อิทามิ หัวหน้าแผนกพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ของบริษัทพาโซนา กรุ๊ป เล่าถึงแนวคิดที่ทำให้เกิดโครงการ พาโซนา โอทู ที่เธอเป็นผู้ดูแลโครงการนี้เองว่า "เราต้องการจะกระตุ้นธุรกิจภาคเกษตรกรรมให้คนสนใจ โดยเริ่มที่กลุ่มคนหนุ่มสาวเป็นอันดับแรก ด้วยการสร้างสวนผักรูปแบบใหม่ที่ดูสะอาดสดใสขึ้นกลางกรุงโตเกียว ซึ่งเราคิดว่าน่าจะทำให้คนหนุ่มสาวรู้สึกสนใจที่จะมาปลูกผักขายกัน"
แล้วโครงการนี้ก็กลายเป็นอาชีพใหม่ของนายโทโมฮิโร่ คิตาซาว่า หนุ่มกรุงวัย 31 ที่ตกงานจากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ จึงตัดสินใจลองมาปลูกผักขาย หลังจากพยายามหางานใหม่มาสักระยะแต่ก็ไม่ได้สักที

"ตอนแรกผมก็รู้สึกแปลกๆที่ต้องมาปลูกผัก แต่สักพักผมก็เริ่มเรียนรู้และรู้สึกชอบมากขึ้นเรื่อยๆ" คิตาซาว่าเล่าถึงสวนผักกาดหอมของเขาตอนนี้ ซึ่งมีด้วยกัน 6 แปลง ดูแล้วคล้ายห้องแล็บมากกว่าสวนผัก ด้วยว่าแต่ละแปลงจะถูกกั้นแบ่งด้วยประตูกระจกใส ที่สามารถเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบอัตโนมัติ และมีระบบควบคุมอุณหภูมิ ความชื้นในอากาศและแสงแดด เพื่อช่วยให้พืชผักเจริญเติบโตได้ดี
เนื่องจากเป็นโครงการที่น่าสนใจ และน่าจะช่วยทำให้สภาพอากาศและสภาพแวดล้อมในกรุงโตเกียวดีขึ้น ด้านองค์การโทรศัพท์ของญี่ปุ่นก็ร่วมสนับสนุนโครงการนี้ด้วย โดยสละพื้นที่บนอาคารสาขา 2 แห่งให้พนักงานมาปลูกมัน ภายใต้โครงการชื่อ "กรีน โพเทโต" เนื่องจากใบของมันมีขนาดใหญ่สามารถแผ่ปกคลุมป้องกันความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ดี แล้วยังทำให้พนักงานได้รับประทานมันต้มรสหวานในช่วงฤดูใบไม้ร่วงกันด้วย
ทั้งนี้นายมาซาฮีโร นากาตะ เจ้าหน้าที่แผนกพัฒนาสิ่งแวดล้อมขององค์การโทรศัพท์ เล่าว่า หลังจากได้เห็นผลสำเร็จของโครงการนำร่อง ตอนนี้ทางองค์การโทรศัพท์จึงมีเป้าหมายจะขยายโครงการกรีน โพเทโต ไปให้ทั่วประเทศ แล้วไม่ใช่มุ่งเจาะไปที่อาคารสำนักงานตึกใหญ่ๆเท่านั้น แต่ยังจะขยายไปยังโรงเรียนต่างๆด้วย โดยหวังว่านี่จะเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้เด็กนักเรียนในเมืองหลวงได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็สนุกกับการที่ได้มีส่วนผลิตพืชผัก อาหารที่งอกงามมาจากสองมือของพวกเขาเอง

 

ข้อมูลจาก : คอลัมน์ ร่อนตามลม มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 10 พฤศติกายน 2551

Read full story
Related Posts with Thumbnails

H C Supply Co.,Ltd.. Get yours at bighugelabs.com

H C Supply Co.,Ltd.
162 Moo12 Weingkalong Sub-District, Weingpapao District, Chiangrai 57260 THAILAND
Tel. +66 (0)53 952 418 Fax. +66 (0)53 952 136
E-mail : hsuchuanfoods@hotmail.com
 

H C Supply Co.,Ltd. © 2008 Business Ads Ready is Designed by Ipiet Supported by Tadpole's Notez